ฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลกสอนวิธีคิด น่าจะเป็นตัวอย่างของหนังสือที่แย่เล่มหนึ่งเท่าที่เคยอ่านมา พออ่านจบแล้วรู้สึกว่าเป็นหนังสือที่ห่วยที่สุดในรอบปี หรือรอบหลายสิบปีเท่าที่เคยอ่านมา!
ฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลกสอนวิธีคิด คิดอะไร?

หนังสือเล่มนี้มีชื่อยาวเหยียดว่า ฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลกสอนวิธีคิด เล่มที่ ๑ “วิชาชีวิตที่ไม่มีในตำรา” เขียนโดย เหวย์ ซิ่วอิง แปลโดย ผศ.ดร. ชัญญพร จาวะลา โฆษณาที่หน้าปกหนังสือว่า “หนังสือดี เปลี่ยนแปลงชีวิตได้” แต่อ่านจบแล้วรำพึงในใจว่า “คงไม่ใช่เล่มนี้”
บางทีปัญหาของหนังสือเล่มนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวหนังสือ แต่อยู่ที่ตัวเอง ที่ตั้งธงไว้ว่าหนังสือแนวจิตวิทยาเสริมสร้างแรงบันดาลใจน่าจะมีมีพื้นฐานจากความจริงเป็นหลัก
ปกติก่อนจะซื้อหนังสือหนึ่งเล่มจะเปิดอ่านคร่าว ๆ ก่อนเสมอ แต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้อะไรบังตา เห็นคำว่าฮาร์วาร์ดก็หยิบมาจ่ายเงินโดยไม่ทันเปิดอ่าน
เสียดายเงินจริง ๆ
สะดุดใจตั้งแต่อ่านบทนำเลยเชียว เขียนถึงห้องสมุดของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดไว้น่าสนใจ ปูพื้นไว้ว่า
สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งของประเทศอังกฤษเคยจัดรายการพิเศษเรื่อง “ตี ๔ ครึ่ง” เนื้อหาของรายการกล่าวถึงช่วงเช้ามืดตอนตี ๔ ครึ่งในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเต็มไปด้วยนักศึกษาที่นั่งเงียบ ๆ จดโน้ตอย่างขมีขมัน และขบคิดคำถามกันอย่างกระตือรือร้น…
(จากหน้า ๑๒)
แต่พออ่านต่อหน้าต่อมา เขียนว่ามีคำสอน ๒๐ อย่างจารึกบนกำแพงห้องสมุดที่ฮาร์วาร์ด ตรงนี้ล่ะที่ว่าอ่านแล้วเกิดสะดุดใจตั้งแต่ข้อแรก
“เวลาที่หลับคุณจะฝัน แต่ช่วงเวลาศึกษาเล่าเรียนคุณจะทำให้ความฝันเป็นจริง”
สะดุดใจขึ้นมาจริง ๆ ว่ามหาวิทยาลัยฮาร์วาดจะเขียนอะไรบนกำแพงแบบนี้จริง ๆ หรือ?
จะเคยมีรายการโทรทัศน์ของประเทศอังกฤษจัดรายการพิเศษเรื่อง “ตี ๔ ครึ่ง” จริงหรือเปล่าก็ไม่ทราบ (อนุมานไว้ก่อนคงมีจริง และทำใจเข้าข้างคนเขียนว่าคงเขียนจากความจำและหนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่บทความทางวิชาการ ไม่ต้องอ้างอิงชัดเจน) นักศึกษาอ่านหนังสือตอนตีสี่ครึ่ง น่าจะเป็นเรื่องจริง เข้าใจว่าห้องสมุดมหาวิทยาลัยในประเทศไทยหลายแห่ง ก็เปิด ๒๔ ชั่วโมง แต่คงเปิดเฉพาะบางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมด
ข้อเท็จจริงที่ค้นมา: ห้องสมุดที่ฮาร์วาร์ดมี ๗๓ แห่ง (ไม่ใช่กว่า ๑๐๐ แห่งอย่างที่หนังสือเล่มนี้เขียนไว้ในหน้า ๑๒) ที่เปิด ๒๔ ชั่วโมงมีอยู่จริง แต่ไม่ใช่ทุกแห่ง ส่วนใหญ่เปิด ๐๘:๐๐ – ๑๗:๐๐ น. เปิดสายไปถึงตอนเที่ยงบ่ายก็มี
แต่ ผนังห้องสมุดจะมีจารึกคำสอน ๒๐ อย่างจริงหรือ? มีความรู้สึกว่าผนังห้องสมุด (ไม่ว่าจะที่ไหน ถ้าบรรณารักษ์ไม่งี่เง่าตกยุค) ไม่น่าจะมีอะไรพวกนี้อยู่บนผนัง เลยต้องค้นข้อมูลดูว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่ ปรากฏว่าคำถามนี้มีคนถามมากอยู่ มีคำตอบชัดเจนอยู่ในเว็บไซต์ของฮาร์วาร์ดว่า “ไม่มี”
(เข้าใจว่าจะมีคนสงสัยเรื่องนี้มากพอควร ขนาดเอามาทำเป็น FAQ กันเลย)
ฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลกสอนวิธีคิด – เชื่อได้แค่ไหน?
หนังสือเล่มนี้ ใช้ฮาร์วาร์ดเป็นศูนย์กลางของเรื่อง แต่กลับให้ข้อมูลที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนตั้งแต่บทนำ ทำลายความน่าเชื่อถือไปเกินครึ่ง เนื้อหาภายในเล่ม ถ้ามีการอ้างอิงถึงคำสอนจากฮาร์วาร์ดก็มักจะอ้างลอย ๆ เช่น “ศาสตราจารย์คนหนึ่งของฮาร์วาร์ด” ใครก็ไม่รู้ แต่พอระบุชื่อเสียงเรียงนาม กลับทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมา เช่น หน้า ๑๒๒
ครั้งหนึ่ง ศาสตาจารย์ โรเจอร์ พอร์เตอร์ ของภาควิชาความสัมพันธ์ภาครัฐและภาคธุรกิจของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวกับนักศึกษาในชั้นเรียนว่า “ทุกคนต่างรู้จักมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ตอนนี้สแตนฟอร์ดมีเอกลักษณ์และกลายเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำระดับโลกที่มีชื่อเสียงพอ ๆ กับเรา แต่รู้มั้ยว่าสแตนฟอร์ดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร สแตนฟอร์ดในวันนี้ต้องขอบคุณอธิการบดีของเราคนหนึ่งที่เคยกล่าวคำเย้ยหยันเขา”
หน้า ๑๒๒
(ขอตัดเล่ารวบรัดเลยแล้วกัน ขี้เกียจพิมพ์ตามหนังสือ) ในหนังสือเล่าว่ามีชายหญิงสูงวัยแต่งตัวปอน ๆ ทั้งเก่าทั้งขาด ขอเข้าพบอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยไม่นัดหมายล่วงหน้า อธิการบดีไม่อยากพบทั้งคู่เท่าไหร่ เลยแสดงกิริยาไม่ค่อยดีกับทั้งคู่ เมื่อทั้งคู่เล่าว่า ลูกชายของพวกเขาเรียนที่ฮาร์วาร์ดหนึ่งปีได้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จึงอยากสร้างตึกเป็นที่ระลึก ท่านอธิการบดีจึงบอกว่า ตึกหลังหนึ่งต้องใช้เงิน ๗.๕ ล้านดอลลาร์ หญิงชราจึงหันมาหาสามีบอกว่า “สร้างสิ่งปลูกสร้างหนึ่งอย่างต้องใช้เงินมากมายขนาดนี้เชียวหรือ ทำไมพวกเราไม่สร้างมหาวิทยาลัยของพวกเขาเองเลยล่ะ”
(หน้า ๑๒๔ บอกว่าลูกชายประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แต่หน้า ๑๒๕ บอกว่าเป็นไทฟอยด์เสียชีวิต จะเอายังไงกันแน่?)
ศาสตาจารย์โรเจอร์ พอร์เตอร์มีตัวตนจริง แต่น่าสงสัยว่าท่านศาตราจารย์ โรเจอร์ พอร์เตอร์จะไม่รู้ที่มาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดจริงหรือ
ลีแลนด์ และ เจน สแตนด์ฟอร์ด ก่อตั้งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เพื่อรำลึกถึง ลีแลนด์ สแตนฟอร์ด จูเนียร์ ซึ่งเสียชีวิตด้วยไทฟอยด์จริง แต่ที่เหลือไม่จริง เพราะ ลีแลนด์ สแตนฟอร์ด จูเนียร์ เสียชีวิตเมื่อปีค.ศ. ๑๘๘๔ ขณะที่อายุยังไม่ถึง ๑๖ ปี เวลานั้นเขายังเรียนระดับไฮสคูลหรือมัธยม และไม่เคยศึกษาที่ฮาร์วาร์ด
ลีแลนด์ สแตนฟอร์ด ผู้เป็นบิดา เคยเป็นนายกเทศมนตรีแคลิฟอร์เนีย เป็น ๑ ใน ๔ ผู้ก่อตั้งรถไฟสายเซ็นทรัลแปซิฟิก และในปีถัดมาหลังบุตรชายคนเดียวเสียชีวิต เขาเป็นวุฒิสมาชิกรัฐแคลิฟอร์เนีย ดำรงตำแหน่งจนเสียชีวิต ด้วยปูมหลังของลีแลนด์ ไม่มีทางที่เขาจะแต่งตัวปอน ๆ ทั้งเก่าทั้งขาดไปขอเข้าพบอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และไม่มีทางที่อธิการบดีของฮาร์วาร์ดจะไม่รู้จักเขา เทียบกับเมืองไทยก็คงอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ฯลฯ ไม่รู้จักเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี หรือ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์
เมื่อลูกชายของเขาเสียชีวิต ลีแลนด์คิดจะสร้างอนุสรณ์เพื่อรำลึกถึงลูกชายคนเดียวของเขา เช่นพิพิธภัณฑ์ โรงเรียน มหาวิทยาลัย ฯลฯ เขาปรึกษากับคนหลายคน รวมทั้งอธิการบดีของฮาร์วาร์ดด้วย ซึ่ง ชาร์ลส เอลเลียต อธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดขณะนั้นสนับสนุนให้เขาก่อตั้งมหาวิทยาลัย
จะเห็นว่าเรื่องเล่าในหนังสือมีความจริงความเท็จปะปนกันอยู่ ลองดูตัวอย่างหนึ่ง
หลายปีก่อน ที่เมืองซอลต์เลก มีชายหนุ่มที่ทั้งขยันและประหยัดคนหนึ่ง เขามักได้รับคำชมจากเพื่อน ๆ และเพื่อนบ้านเสมอ ๆ แต่การกระทำครั้งหนึ่งของเขากลับทำให้เพื่อน ๆ พากันคิดว่าเขาเสียสติ ชายหนุ่มผู้นี้ถอนเงินทั้งหมดออกจากธนาคาร จากนั้นไปชมงานแสดงรถยนต์ที่นิวยอร์ก ขากลับก็ซื้อรถใหม่มาคันหนึ่ง พอกลับถึงบ้านก็รีบเอารถไปจอดในโรงรถและถอดชิ้นส่วนรถยนต์แต่ละส่วนออก หลังจากที่ศึกษาส่วนประกอบต่าง ๆ ของรถยนต์เสร็จเขาก็ประกอบกลับไปใหม่
เพื่อน ๆ และเพื่อนบ้านต่างคิดว่าเขาทำอะไรแปลกประหลาด และเมื่อเขาถอดชิ้นส่วนและประกอบมันใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยิ่งทำให้คนที่เฝ้ามองพากันมั่นใจว่าเขาเสียสติไปแล้ว ชายหนุ่มคนนี้ก็คือ ไครสเลอร์ “เจ้าพ่อวงการรถยนต์” ที่โด่งดังที่สุดในเวลาต่อมานั่นเอง
(หน้า ๒๖ – ๒๗)
ตามประวัติที่หามาได้ วอลเตอร์ ไครสเลอร์ เรียนจนด้านช่างเครื่องยนต์จากอินเตอร์เนชันแนล คอร์เรสบอนเดนซ์ สคูล ในสครานตัน รัฐเพนซิลวาเนีย ทำงานเป็นช่างเครื่องยนต์รถไฟกับบริษัทใหญ่ อย่างเช่นบริษัทชิคาโกเกรทเวสเทิร์นที่โอลเวน รัฐไอโอวา จากนั้นจึงย้ายมาทำงานทีเมืองพิทส์เบิร์ก รัฐเพลซิลวาเนีย
วอลเตอร์ซื้อรถยนต์คันแรกจากงานแสดงรถในชิคาโก้มาถอดประกอบดูกลไก แต่ลองคิดด้วยตรรกะง่าย ๆ ว่าถ้ารู้จักใครสักคนที่ทำงานด้านเครื่องยนต์มาตลอด ซื้อรถยนต์มาถอดประกอบจะคิดว่าใครคนนั้นเสียสติหรือ? คนเขียนหนังสือเล่มนี้เขียนราวกับว่าวอลเตอร์เป็นคนธรรมดาสามัญทั่วไป ที่จู่ ๆ ก็ซื้อรถมาถอดประกอบใหม่โดยไม่บอกพื้นฐานว่าเขาเป็นช่างเครื่องยนต์ ทำงานที่บริษัทรถไฟขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกา อาจต้องการสื่อถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ แต่การบรรยายเกินจริง หรือละเว้นการเล่าปูมหลังทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญแบบนี้ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
การอ้างอิงโดยใช้ความจริงผสมเรื่องแต่งแบบนี้เป็นผลเสียมากกว่าผลดี เชื่อว่าคนเขียนคงจะอ้างว่ามีเจตนาดีเพื่อหาเรื่องมากระตุ้นคนอ่านให้เกิดความคิดบวก แต่ข้อเสียที่ใหญ่กว่าคือกำลังทำให้ข้อเท็จจริงบิดเบือนและถ้ามีคนรู้ความจริงจะรู้สึกว่าความน่าเชื่อถือลดลง ส่อแววว่าตอนเขียนคงจะหาเรื่องเล่าลือต่าง ๆ มาจับแพะชนแกะจนทำให้เกิดความสงสัยว่าควรเชื่อคำแนะนำในหนังสือเล่มนี้เพียงใด
แถมบททดสอบที่แทรกเข้ามาก็ทะแม่งเสียด้วย เช่น หน้า ๑๑๘ ฮาร์วาร์ดทดสอบคุณ น้ำอัดลม ๑ กระป๋อง ราคา ๑ ดอลลาร์ กระป๋องเปล่าสองกระป๋องแลกน้ำอัดลมได้ ๑ กระป๋อง มีเงิน ๒๐ ดอลลาร์จะดื่มน้ำอัดลมได้มากสุดกี่กระป๋อง
คำตอบคือ ๔๐ กระป๋อง แทนที่จะเป็น ๓๙ เพราะยืมกระป๋องเปล่าจากเจ้าของร้านมา ๑ กระป๋องแลก ๑ กระป๋องแล้วเอากระป๋องเปล่าคืนเจ้าของร้านไป
อ่านแล้วเกิดคำถามกลับว่า ถ้าต้องใช้กระป๋องเปล่า ๒ กระป๋องเพื่อแลกน้ำอัดลม ๑ กระป๋อง หมายความว่าจะต้องมีการเก็บกระป๋องเปล่าเพื่อลงบัญชีว่าได้กระป๋องเปล่ามากี่กระป๋องและให้แลกไปกี่กระป๋องไช่หรือไม่? ถ้าเจ้าของร้านยอมให้ยืมกระป๋องเปล่าไปเพื่อแลกกระป๋องใหม่ จะเกิดความผิดพลาดทางบัญชีทันที ถ้ามีคนมาตรวจสอบบัญชีก็จะเกิดคำถามว่า ทำไมมีกระป๋องเปล่าหาย ๑ ใบ หรือน้ำอัดลมแลกเกินไป ๑ ใบ ใครจะเป็นคนรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตรงนี้? และถ้าเจ้าของร้านทำแบบนี้จะไม่รู้ที่มาที่ไปของเส้นทางเงิน
หรือจะลงบัญชีว่า ใจดี แถมฟรี ๑ กระป๋อง
ฮาร์วาร์ดทดสอบคุณในหนังสือเล่มนี้ ทำให้เกิดคำถามกลับได้ทุกบท จนอัศจรรย์ใจว่าทำไมจึงเป็นแบบนั้นถ้าหนังสือเล่มนี้ชื่อ อาแปะสอนลูก อากงสอนหลาน อาจจะไม่รู้สึกอะไรเท่าได้เห็นคำว่า ฮาร์วาร์ด แล้วก็เกิดความคาดหวังขึ้นมาในใจ ว่าจะได้อ่านอะไรที่เป็นวิชาการ แต่พอได้อ่านแล้วรู้สึกมันมีอะไรไม่น่าเชื่อถือว่าจะเป็นฮาร์วาร์ดอยู่หลายเรื่อง (เกือบทั้งเล่ม) ทั้งที่จริงแล้วอาจจะมีคำสอนแบบนั้นจริงก็ได้ ไม่เช่นนั้นคนเป็นครูบาอาจารย์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคงสะดุดใจตอนแปลแล้วล่ะว่ามันไม่ใช่…
อ่านเล่มนี้แล้วรู้สึกเหมือนคนเขียนไปเก็บเรื่องราวจากที่ต่าง ๆ โดยไม่ตรวจสอบข้อมูลก่อนแล้วมาเขียนเอาตามความเข้าใจของตัวเอง มากกว่าจะเรียนจบจากฮาร์วาร์ดแล้วสังเคราะห์เอาสิ่งที่ฮาร์วาร์ดสอนออกมาแยกย่อยให้คนอ่าน
คำแนะนำอย่างจริงใจ
เป็นหนังสือที่แนะนำว่าไม่ควรอ่านยกเว้นไม่มีอะไรจะทำจริง ๆ และถ้าอ่านก็ควรใช้สติไตร่ตรองให้มากก่อนจะเชื่อ ในชีวิตอ่านหนังสือที่ไม่ชอบมาหลายเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าไม่ชอบก็จะผ่านเลยไปไม่เขียนถึง แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องเขียนถึงเพราะ ถ้าหนังสือนี้อ้างถึงฮาร์วาร์ดเพื่อความน่าเชื่อถือ ก็ควรนำเสนอความจริงเพื่อสนับสนุนเนื้อหา ถ้าหากยกเรื่องลวงมาเขียนถึงแล้วเกิดมีคนนำไปอ้างอิงอีกต่อหนึ่ง มันคือเรื่องที่แย่มากในทางวิชาการคือการเผยแพร่ความรู้แบบผิด ๆ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบริภาษคนที่นำเรื่องหลอกมาปนกับเรื่องจริงแล้วเผยแพร่สู่สาธารณะว่า “ผู้ซึ่งทำลายของแท้ให้ปนด้วยของไม่แท้เช่นนั้น ก็เหมือนหนึ่งปล้นลักทรัพย์สมบัติของเราทั้งปวงซึ่งควรจะได้รับ แล้วเอาสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ลงเจือปนเสียจนขาดประโยชน์ไป เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก ไม่ควรเลยที่ผู้ใดซึ่งรู้สึกตัวว่าเป็นผู้ลักหนังสือจะประพฤติเช่นนี้ หนังสือนี้จะคลาดเคลื่อนมาจากแห่งใดก็หาทราบไม่ แต่คงเป็นของที่ไม่บริสุทธิ์ซึ่งเห็นได้ถนัด”
เรื่องการพิสูจน์อักษร
ด้านการแปลและบรรณาธิการ มีหลุดหลายจุด ยกตัวอย่างง่าย ๆ สักจุดหนึ่ง หน้า ๖ สะกดชื่อ แฟรงกลิน รูสเวลต์ หน้า ๘๖ สะกด แฟรงคลิน รูสเวล หน้า ๒๑ สะกด โรสเวลต์ ตรงนี้อ่านเนื้อหาแล้วน่าจะหมายถึง ธีโอดอร์ โรสเวลต์ แต่โรสเวลต์ทั้งสองคนสะกดเหมือนกันคือ Roosevelt ทับศัพท์อย่างเป็นทางการคือ โรสเวลต์ แต่พิสูจน์อักษรพลาด หรือไม่ได้พิสูจน์อักษร แล้วคนแปลไม่ได้เอะใจอะไรเลย? ไม่มีวิธีเขียนชื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเลยราวกับแยกแปลกันคนละท่อน
หรือคนแปลหลายคน? แล้วใส่ชื่ออาจารย์อะไรสักคนให้ดูขลัง?
เข้าใจว่าจะขายดีอยู่ เห็นมี เล่ม ๒ ออกมาวางจำหน่ายด้วย แต่คงไม่มีความสนใจพอจะหยิบเล่ม ๒ มาอ่านหรอก
แสดงความคิดเห็น