Cardiff Giant หรือยักษ์แห่งคาร์ดิฟฟ์ เป็นตำนานการหลอกลวงที่สนุกเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ลวงโลก แม้ว่าคนทำจะตั้งใจให้มันเป็นเรื่องล้อเล่น และหาผลประโยชน์ตอบแทนเป็นกอบกำ จึงเป็นการเล่นแบบลงทุนพอสมควร จะเล่าให้อ่านดังนี้
วันที่ ๑๖ ตุลาคม ค.ศ. ๑๘๖๙ เกิดข่าวใหญ่ในเมืองคาร์ดิฟฟ์ รัฐนิวยอร์ก เมื่อคนงานได้ขุดพบ ยักษ์หินขนาด ๑๐ ฟุต เกิดความแตกตื่นกันว่า นี่คือ “ซากฟอสซิล” ของมนุษย์ยักษ์ตั้งแต่โลกโบราณนานกาเล นี่คือสิ่งที่ยืนยันว่าโลกนี้เคยมียักษ์มาก่อน
น่าเสียดายที่มันไม่ใช่ของจริง!
จอร์จ ฮัลล์
ต้นคิดการสร้างเรื่องนี้ชื่อ จอร์จ ฮัลล์ (George Hull) เขาเป็นนักธุรกิจค้าข้างซิการ์ที่ไม่เชื่อศาสนา ในปีค.ศ. ๑๘๖๗ (พ.ศ. ๒๔๑๐) ระหว่างที่เขาทำธุรกิจในรัฐไอโอวา บังเอิญให้ต้องไปติดอยู่ท่ามกลางการถกเถียงทางเทววิทยากับนักเทศน์กลุ่มผู้ฟื้นฟูศรัทธาใหม่นิกายเมธอดิสต์ ซึ่งยกถ้อยคำจากพระคัมภีร์มาเอ่ยอ้างอย่างไร้เหตุผล อย่างเช่น เจเนซีส ๖:๔ ที่บอกว่า ครั้งหนึ่งโลกใบนี้เคยมียักษ์เดินไปมาในพิภพ
ในคราวนั้นมีพวกมนุษย์ยักษ์บนแผ่นดินโลก และหลังจากนั้น เมื่อบุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าเข้าหาบุตรสาวทั้งหลายของมนุษย์ และเธอทั้งหลายคลอดบุตรให้แก่พวกเขา บุตรเหล่านั้นกลายเป็นคนมีอำนาจมากซึ่งอยู่ตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นคนมีชื่อเสียงดี
หนังสือ ปฐมกาล ๖:๔ – พระคัมภีร์ภาษาไทย ฉบับ คิงเจมส์
ตรงนี้อาจจะต้องอธิบายเล็กน้อยว่า ต้นฉบับพันธสัญญาเดิมส่วนใหญ่ ไม่ได้ใช้คำว่า “ยักษ์” แต่ใช้คำว่า The Nephilim ซึ่งมีคำอธิบายว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีร่างกายใหญ่โตและทรงพลัง แต่ไบเบิลบางฉบับ เช่น ฉบับดาร์บี หรือ ฉบับคิงเจมส์ แปลว่า ยักษ์
และด้วยเหตุนั้น เขาจึงคิดว่า โลกนี้เคยมี “ยักษ์” ครองอยู่จริงหรือ? แล้วถ้าเขาจะลองทำยักษ์ ซึ่งกลายเป็นหิน มันจะเป็นอย่างไรนะ? และก่อนหน้าที่ จอร์จ ฮัลล์ คิดทำอะไรแผลง ๆ เช่นนี้ เคยมีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์ อัลตาแคลิฟอร์เนีย ประมาณปีค.ศ. ๑๘๕๘ ว่า มีผู้สำรวจแร่กลายเป็นหินเมื่อเขาดื่มของเหลวจากแร่จีโอด (แน่นอน เป็นเรื่องหลอกลวงเช่นกัน) เขาเลยคิดว่า ถ้าเกิดมีคนกลายเป็นหินจริง และถ้าโลกนี้เคยมียักษ์และกลายเป็นหิน จะเป็นอย่างไร?
ต้องบอกว่า เมื่อเขาคิดเล่นตลกเพื่อล้อเลียนความเชื่อของกลุ่มผู้สอนศาสนา และอาจจะหาทางทำกำไรจากแนวคิดนี้ได้บ้าง
Cardiff Giant
เขาลงทุนเดินทางไปยังฟอร์ต ดอดจ์ รัฐไอโอวา สั่งบล็อกยิปซั่มขนาด ๕ ตัน โดยอ้างว่าจะนำไปใช้เป็นรูปปั้น อับราฮัม ลินคอล์น ผู้ล่วงลับ จากนั้นก็ส่งไปยังตัวแทนจำหน่ายหินอ่อนในชิคาโก ซึ่งได้มีการทำข้อตกลงร่วมกันเพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่จะได้รับแล้วส่งไปชิคาโก้ จ้าง เอ็ดเวิร์ด เบิร์คฮารด์ต ช่างตัดหินชาวเยอรมันเป็นคนแกะหินให้เป็นรูปคน โดยขอให้เก็บไว้เป็นความลับ และในช่วงปลายค.ศ. ๑๘๖๘ ปฏิมากรรมรูปร่างเหมือนชายเปลือยนอนหงาย แขนขวาจับที่ท้อง ขาข้างหนึ่งไขว้ทับอีกข้างหนึ่งและมีใบหน้ายิ้ม
และ เพื่อให้งานเนียนหน่อย ผู้จัดทำใช้กรดซัลฟิวริก (และสารเคมีอื่น) ราดภายนอกเพื่อให้ดูเก่าและผุพัง และจอร์จยังเอาพวกเหล็กที่มีปุ่มแหลม ๆ มาทุบอีก เพื่อจะให้เป็นผิวสัมผัสคล้ายคลึงกับคน และในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๘๖๘ เขาขนย้ายยักษ์หินสูงกว่า ๑๐ ฟุต และหนักเกือบ ๓,๐๐๐ ปอนด์ไปที่ไร่ของ วิลเลียม “สตับ” นีเวลล์ ญาติคนหนึ่งของเขา ซึ่งเป็นเกษตรกร อยู่ในเมืองคาร์ดิฟฟ์ รัฐนิวยอร์ก โดยทำข้อตกลงเรื่องผลประโยชน์ที่จะได้ในอนาคตจากการร่วมมือนี้
และเพื่อให้สมจริง ถ้าฝังดินแล้วขุดขึ้นมาเลย คนก็คงจะสังเกตได้ไม่ยากว่า ก่อนนี้มีการขุดเพื่อกลบฝังของบางอย่างไว้ พวกเขาจึงรอเวลาอีกเป็นปี
การลงทุนที่ต้องใช้เวลาเนิ่นนานร่วม 2 ปี อาจจะไม่ใช่แค่ทำเล่น แต่ตั้งใจหาผลประโยชน์โดยตรง
๑๖ ตุลาคม ค.ศ. ๑๘๖๙ (พ.ศ.๒๔๑๒) วิลเลียม นีเวลล์ จ้าง าง กีเดียน เอ็มมอนส์ และ เฮนนี่ นิโคลส์ ให้ขุดบ่อน้ำใกล้โรงนาของเขา ซึ่งหลังจากขุดได้ไม่นาน คนงานก็ต้องตะลึงเมื่อเขาได้ขุดพบชายร่างใหญ่นอนหงาย ซึ่งในตอนแรกพวกเขาคิดว่าได้พบซากศพของชาวอินเดียนแดงโบราณเข้าให้แล้ว
ข่าวการพบยักษ์หินแพร่ทั่วคาร์ดิฟฟ์ในเวลาไม่นาน หลายคนสันนิษฐานว่าร่างนี้เป็นชายโบราณที่กลายเป็นหินโดยน้ำในบึงใกล้ ๆ วิลเลียม นีเวลล์ นำยักษ์หินมาเปิดให้คนทั่วไปชมโดยคิดราคาค่าชม ๒๕ เซ็นต์ สองวันต่อมาก็ขึ้นราคาเป็น ๕๐ เซ็นต์ ซึ่งในช่วงสัปดาห์แรกมีคนมาดูประมาณ ๒,๕๐๐ คน และ จอร์จ ฮัลล์ ก็ตามมาสมทบภายหลัง
แน่นอนว่า ข่าวใหญ่ขนาดนี้ต้องเรียกบรรดานักวิชาการมาตรวจสอบ จอห์น เอฟ. บอยน์ตัน นักธรณีวิทยาเป็นคนแรกที่สำรวจยักษ์หิน เขาประกาศว่าคนเราตายไปก็ไม่สามารถเป็นฟอสซิลได้ แต่สันนิษฐานว่าเป็นรูปปั้นที่แกะสลักโดยคณะเยซูอิตชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 16 หรือ 17 เพื่อสร้างความประทับใจให้ชาวพื้นเมืองอเมริกัน เจมส์ ฮอลล์ นักธรณีวิทยาแห่งรัฐนิวยอร์กและ เฮนรี วอร์ด ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ ตรวจสอบแล้วประกาศว่านี่คือ รูปปั้น ซึ่งจอร์จก็บอกว่า ต่อให้มันไม่ใช่มนุษย์ยักษ์ เจ้าสิ่งนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในประเทศอยู่ดี
จอร์จ ฮัลล์ ขายมันไปได้ในราคา ๒๓,๐๐๐ เหรียญสหรัฐ (เขาลงทุนไปเพียว ๒,๖๐๐ เหรียญสหรัฐ ) ให้กับสมาคมของเดวิด ฮันนัม แต่เมื่อนำแสดงออกต่อสาธารณชนมากเข้า ก็มีนักวิชาการมาขอตรวจสอบมากขึ้นทุกที หลายคนออกความเห็นเป็นเชิงว่านี่คงเป็นของปลอม นักธรณีวิทยาก็บอกว่ามันไม่มีเหตุผลเลยสักนิดที่จะไปขุดบ่อน้ำตรงที่ขุดพบยักษ์หิน นักชีววิทยาด้านพืชและสัตว์โบราณ โอธเนียล ชาร์ลส์ มาร์ช ยืนยันว่ามันเป็นของปลอมแหง ๆ ชาวบ้านบางคนออกปากว่าเห็นการเคลื่อนย้ายลังไม้ขนาดใหญ่เข้าคาร์ดิฟฟ์เมื่อปีก่อน วิศวกรเหมืองแร่วิจารณ์ว่า สิ่งทีเห็นน่าจะเป็นยิปซั่มจากการเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วในดินเปียก ๆ
ถึงแม้จะมีคนออกมาบอกว่าเป็นของปลอม แต่ พี ที บาร์นัม ซึ่งหากินกับของแปลก ๆ เสนอซื้อต่อในราคา ๕๐,๐๐๐ เหรียญสหรัฐ แต่ทางสมาคมไม่ตกลง พี ที บาร์นัมเลยจ้างคนมาทำของเลียนแบบ โดยเอาแว๊กซ์มาทำแบบหล่อจากของจริงแล้วใช้ปูนพลาสเตอร์เทหล่อออกมา
แน่นอนว่า พี ที บาร์นัม รู้ว่าสิ่งนี้เป็นของปลอม แต่เขาก็เลี่ยงด้วยการโฆษณาว่า “มันคืออะไร?ถรูปปั้น? มันเป็นหิน? เป็นการฉ้อโกงที่น่าอัศจรรย์หรือไม่? มันเป็นซากของเผ่าพันธุ์เดิมหรือไม่?” และสุดท้ายเขาก็โฆษณาว่าที่อยู่กับเขาเป็นของจริง แต่เจ้ายักษ์หินของสมาคมของ เดวิด ฮันนัม นั้นเป็นของปลอม ทำให้เดวิด ฮันนัม ฟ้อง พีที บาร์นัม
๑๐ ธันวาคม ค.ศ. ๑๘๖๙ จอร์จ ฮัลล์ ก็แถลงต่อสาธารณชนว่าเขาเป็นคนทำมันขึ้นมาเอง และในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๘๗๐ เจ้ายักษ์ทั้งสองตัวก็ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นของปลอม เจ้ายักษ์หินคาร์ดิฟฟ์โดนขายเปลี่ยนมือหลายครั้ง ปัจจุบันอยู่ใน พิพิธภัณฑ์เกษตรกรในคูเปอร์สทาวน์ นิวยอร์ก ส่วนของเลียนแบบอยู่ที่ฟอร์ตมิวเซียมแอนด์ฟรอนเทียร์วิลเลจในฟอร์ตดอดจ์ รัฐไอโอวา
จอจ์จ ฮัล พยายามสร้างเรื่องลวงโลกอีกครั้ง โดยสร้างมนุษย์สูงเจ็ดฟุตมีหางและฝังไว้ที่โคโลราโด แต่คราวนี้ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนเมื่อครั้งยักษ์หินแห่งคาร์ดิฟฟ์