The Story & the Engine – เรื่องเล่าและเครื่องยนต์ เป็นตอนที่ ๕ ของซีรีส์ Doctor Who ฤดูกาลที่ ๑๕ ออกอากาศเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๘

ตั้งแต่รัสเซลล์ ที เดวีส์ กลับมาเป็นแกนนำหลักของ Doctor Who อีกรอบนี่ เขาก็พยายามสร้างบรรยากาศใหม่ ๆ หลุดกรอบเดิม ๆ ของด็อกเตอร์ไปบ้าง ซึ่งอาจจะทำสำเร็จถ้าแต่ละฤดูกาลมีจำนวนตอนมากกว่านี้
บอกก่อนว่า ยังเชื่อว่าจำนวนตอนไม่ใช่ปัญหา ถ้าเรามุ่งไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง อย่างเช่น ถ้าใครจำได้ ซีรีส์ เชอร์ล็อก อีกผลงานหนึ่งในอดีตของ สตีฟ มอฟเฟต กับ มาร์ก เกทิสส์ แต่ละฤดูกาลมีเพียงแค่ ๓ ตอน แม้ว่าแต่ละตอนจะยาวประมาณชั่วโมงครึ่งสองชั่วโมง ถ้าเอาเวลาของแต่ละฤดูกาลมาเทียบกัน คิดว่าเวลาในการนำเสนอแต่ละฤดูกาลก็น่าจะพอ ๆ กับ Doctor Who ๒ ฤดูกาลหลังนี่แหละ
แต่ด้วยความที่ Doctor Who มีโครงสร้างที่หลากหลายกว่า ก็เลยต้องเล่าหลายเรื่อง ทำให้รู้สึกว่า แค่ 8 ตอนมันไม่พอให้เรารู้สึกผูกพันหรือทำความเข้าใจกับตัวละครต่าง ๆ อย่างตอนเปิดตัว “Robot Revolution” นี่รู้สึกว่ามีประเด็นที่จะบอกคนดูเยอะแยะ แต่ก็จับยัดเข้ามามัดรวมในตอนเดียวแค่ ๔๕ – ๕๐ นาที เนื้อเรื่องมันเลยรวบรัดเกินไป
อย่างล่าสุด “The Story and The Engine” เองเหมือนจะเนิบช้าในตอนแรก แต่มันก็มีอะไรรวบรัดเกินไปอยู่เหมือนกัน
ตอนนี้ เป็นตอนที่มีแต่คนผิวสี แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
ตอนต้นเรื่อง ด็อกเตอร์เปิดว่า เขาไม่เคยอยู่ในร่างคนผิวดำมาก่อน แล้วก็ตามมาด้วยคำพรรณาถึงความแตกต่างทางสีผิวเล็กน้อย
แต่ในท้ายเรื่อง ฟูจิทีฟด็อกเตอร์ โผล่มาแว๊บหนึ่ง
อิหยังนิ
ขอพูดถึงการส่วนดีก่อน ชอบที่ตอนนี้ที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมผ่านเนื้อหาของเรื่องได้แนบเนียนไม่สะดุดใจ ด้วยความที่มันต้องให้ตัวละครเล่าเรื่อง ก็เลยรู้สึกปกติธรรมดา ไม่เหมือนบางตอนที่ผ่านมายัดเข้ามาโต้ง ๆ ให้รู้สึกสะดุดเล่นเช่น “Robot Revolution”)
แต่ด้วยความที่เป็นพื้นที่ปิด และใช้กลวิธีในการ “เล่าเรื่อง” เนื้อเรื่องจึงออกจากเนิบนาบใช้เวลานานเกินครึ่งเรื่องกว่าจะมีอะไรตื่นเต้น หลังจากเริ่มต้นด้วยตัวละครติดอยู่ในร้านตัดผมกับชายลึกลับ (และน่าจะชั่วร้าย) แบบไม่มีอะไรพลิกผันอย่างในตอนที่แล้ว (The Lucky Day)
เราได้รู้ว่าร้านตัดผมกำลังเดินทางผ่านอวกาศตั้งแต่แรก แม้จะไม่รู้ว่ากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน ใครเป็นคนบังคับทิศทาง จนกระทั่งผ่านไปประมาณครึ่งทางก็ยังไม่รู้แน่ชัดด้วยซ้ำว่ามีแผนร้ายอะไรอยู่หรือไม่ ทั้งที่เราก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันต้องมีแผนร้ายบางอย่างแน่นอน (ก็นี่มัน Doctor Who ใช่มะ?)
ระหว่างนั้น เราไม่เข้าใจว่าทำไมถึงขังผู้ชาย ๔ – ๕ คนไว้ ประตูมันน่าจะต่อกับที่ไหนก็ได้ไม่ใช่เหรอ? หรือต่อให้ติดที่เดิม มันก็ต้องมีคนใหม่ผ่านเข้ามาเล่าเรื่อง แล้วจะขังคนไม่กี่คนให้เล่าซ้ำ ๆ ไปทำไม? จะเกิดอะไรกับพวกเขาถ้าพวกเขาหมดเรื่องเล่า หรือว่า มันเล่าซ้ำได้ ? ทำไมไม่หาคนใหม่มาเรื่อย ๆ
และนอกจากโดนขังไม่ให้ออกไปข้างนอก เราก็ไม่ได้เห็นว่ามันจะเป็นอย่างไรถ้าเขาไม่ยอมเล่าเรื่องหรือหมดเรื่องเล่า

ประเด็นสำคัญที่คิดว่าเป็นปัญหาของด็อกเตอร์คนที่ ๑๕ นี่ก็คือ เรื่องการสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับคนดู
ตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว ผู้เขียนบทพยายามนำเสนอภาพอ่อนไหวของด็อกเตอร์คนที่ ๑๕ ให้น้ำตาคลอแทบทุกตอน
โอเค พยายามทำความเข้าใจว่าเขาสะเทือนใจกับความสูญเสีย
แต่นึกไม่ออกเลยว่าทำไมด็อกเตอร์ต้องฟูมฟายน้ำตาคลอว่าโดนหักหลังสาหัสสากรรจ์ในตอนนี้ คนดูเพิ่งเห็นตัวละครโอโมโผล่มาไม่กี่นาที ยังไม่รู้สึกเลยว่าเป็นเพื่อนสนิทกันขนาดไหน
คือด็อกเตอร์เดินเข้ามาเอง เสนอตัวเอง จะฟูมฟายทำไมล่ะ ? เราพลาดอะไรไป ด็อกเตอร์โดนล่อลวงให้มา ? หรืออะไรยังไง งง ๆ ดูแล้วมันก็เป็นสัญชาติญาณปุถุชนทั่วไป ที่เจ้าแห่งกาลเวลาที่อยู่มานานขนาดนั้น ควรเข้าใจง่าย ๆ
โดยส่วนตัวยังเข้าไม่ถึงบรรยากาศของด็อกเตอร์คนนี้เท่าไหร่ ภายใต้การนำของรัสเซลล์นี่พยายามสร้างบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิม แต่ยึดติดกับบรรยากาศเก่า ๆ อยู่เสมอ
ทำให้ ถึงตอนนี้ ยกให้ “The Well” เป็นตอนที่ดีที่สุดของด็อกเตอร์คนที่ ๑๕ นี่เลย“Lucky Day” แม้จะผลักด็อกเตอร์เป็นตัวประกอบ แต่ในทางหนึ่งคือการกระจายบทไปให้ตัวละครอื่นบ้าง เพราะด็อกเตอร์ ๑๕ นี่มีแค่ฤดูกาลละ ๘ ตอนเท่านั้นเอง ไม่เหมือนฤดูก่อนก่อน ๆ ที่ยังมีเวลาเขียนเนื้อเรื่องให้ซับซ้อนมีเรื่องราว แถมยังแนะนำคอนราด ตัวร้ายของตอนได้ดีมาก จนอยากกระโดดถีบทะลุจอสักทีสองที
เขียนบท: Inua Ellams
กำกับ: Makalla McPherson
Read an exclusive prequel to ‘The Story & the Engine’ from writer Inua Ellams