คลีโอพัตรา สัญลักษณ์แห่งความงามและอำนาจ เรามีเรื่องดราม่าเกิดขึ้นในโลกบันเทิง โปรเจ็กต์ล่าสุดของ Netflix เรื่อง Queen Cleopatra กำลังสร้างความปั่นป่วนในหมู่ชาวอียิปต์เนื่องจากการคัดเลือกนักแสดงหญิงชาวอังกฤษ เอเดล เจมส์ (Adele James) ผู้มีผิวกายสีดำมารับบทราชินีผู้เลอโฉมแห่งไอยคุปต์
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เมื่อทนายความคนหนึ่งได้ดำเนินการทางกฎหมายโดยอ้างถึงความไม่ถูกต้องทางประวัติศาสตร์และความไม่สนใจทางวัฒนธรรมของผู้สร้าง

โปรดอ่าน:
- Netflix’s ‘Queen Cleopatra’ adaptation sued by Egyptian lawyer: A ‘forgery’
- Egyptians complain over Netflix depiction of Cleopatra as black
แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด เมื่อไม่กี่ปีก่อน บทบาทอันโด่งดังของคลีโอพัตราตกเป็นของ เกล กาดอต (Gal Gadot) อดีตนางงามชาวอิสราเอลผู้เป็นที่รู้จักในฐานะ สาวน้อยมหัศจรรย์ – Wonder Women ในขณะที่แฟน ๆ บางคนชื่นชมยินดีกับข่าวนี้ คนอื่น ๆ ก็บ่นเกี่ยวกับ “การล้างบาปทางวัฒนธรรม” ซึ่งเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างถึงพริกถึงขิงในฮอลลีวูดที่นักแสดงผิวขาวรับบทเป็นตัวละครที่มีเชื้อชาติอื่น ๆ บางคนแย้งว่าบทบาทควรตกเป็นของนักแสดงเชื้อสายอาหรับหรือแอฟริกันเพื่อถ่ายทอดราชินีอียิปต์ให้ถูกต้องมากขึ้น
การล้างบาปทางวัฒนธรรม / การล้างบาป โอ้ WOKE! White Washing Black Washing นับวันโลกดูจะบ้าบอคอแตกมากขึ้น ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็มีโอกาศเกิดดราม่าได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าใครจะตัดสินใจไปทางไหน ดูเหมือนว่าทุกหนทางล้วนนำไปสู่ข้อโต้แย้งได้ทั้งนั้น





อา…บางทีแกะชราไร้ชื่อแซ่อย่างฉันก็โหยหาคืนวันเก่า ๆ เสียเหลือเกิน ในสมัยที่เราเบาปัญญาจนไม่ต้องกังวลว่าจะทำอะไรแล้วจะมีใครมารุมประนามหยามเหยียด ยกโทษให้ฉันด้วยเถิด เด็ก ๆ ที่รัก ที่ฉันเอาแต่คิดถึงเรื่องเดิม ๆ แต่ดูเหมือนว่าโลกทุกวันนี้จะอ่อนไหวเปราะบางเหลือเกิน
หมดยุคที่เราจะพูดอะไรเรื่อยเปื่อยโดยไม่ต้องกลัวใครตำหนิ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเราจะเกรงว่าเราจะขัดต่อความรู้สึกอ่อนไหวของคนรอบข้าง และด้วยการเพิ่มขึ้นของโซเชียลมีเดีย มันง่ายกว่าที่เคยที่จะกระตุ้นให้เกิดดราม่าและการโต้เถียง
การได้อยู่ในโลกที่ทุกอย่างเรียบง่ายขึ้น ที่ซึ่งเส้นแบ่งระหว่างความเป็นจริงกับจินตนาการพร่ามัว โลกที่ใครสักคนจะเดินไปต่อยสัตว์ประหลาด กระเด็นไปชนกำแพงทำลายตึกพังสักสี่ห้าหลัง โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางจิตใจจากการกระทำของพวกเขา
ย้อนกลับไปในสมัยนั้น เราไม่ได้คิดมากนักกับการวาดภาพคนจากเชื้อชาติต่างๆ ให้เป็นสีเหลือง สีดำ หรือแหม้แต่สีเขียวหรือสีน้ำเงิน เราไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความหมายโดยนัยของสิ่งนั้น หรือไม่ต้องกังวลว่ามันเป็นการละเมิดหรือไม่ เราแค่สนุกกับเรื่องราวในสิ่งที่พวกเขาเป็น – เพื่อความบันเทิงอย่างแท้จริง
และเช่นเดียวกันสำหรับฮีโร่ของเรา ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนหรือสมจริง พวกเขาถมีพลังโดยไร้เหตุผล ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการฆ่าศัตรู เราไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับผลที่ตามมาของการกระทำของพวกเขา หรือเกี่ยวกับนัยทางจริยธรรมของการตัดสินใจของพวกเขา
แต่เวลาได้เปลี่ยนไปและด้วยความรู้สึกอ่อนไหวของเรา เราตระหนักมากขึ้นถึงผลกระทบที่คำพูดและการกระทำของเราสามารถมีได้ และเราตระหนักมากขึ้นถึงความจำเป็นของความหลากหลายและการเป็นตัวแทนในสื่อของเรา
และแม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ดี แต่บางครั้งก็เป็นการดีที่จะมองย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เรียบง่ายเหล่านั้น เพื่อระลึกถึงโลกที่เราไม่ได้จริงจังกับตัวเองมากนัก และที่ที่เราสามารถเพลิดเพลินกับเรื่องราวดีๆ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้ใครขุ่นเคือง หากเราไม่ได้หมายความตามนั้นจริงๆ!
แต่ลองย้อนกลับไปและชื่นชมความซับซ้อนของเรื่องนี้ ไม่ว่าใครจะลงเอยด้วยการสวมผ้าโพกศีรษะอันเป็นสัญลักษณ์และถือคทา ดูเหมือนว่าจะมีความขัดแย้งอยู่เสมอ ไม่ว่านักแสดงจะเป็นคนผิวขาว คนผิวดำ หรือผิวเหลือง เรื่องราวของคลีโอพัตรานั้นเข้มข้นและมีหลายแง่มุม พร้อมด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ยาวนานนับพันปี
ราชวงศ์ทอเลมี

คลีโอพัตรา ที่เจ็ด ฟิโลปาตอร์ หรือ Cleopatra VII Philopator ขึ้นครองบัลลังก์เมื่อ ๕๑ ปีก่อนคริสตกาล เธอเป็นผู้ปกครองคนสุดท้ายของราชวงศ์ทอเลมี(Ptolemaic) เรื่องราวของเธอดึงดูดจินตนาการของผู้คนมานานหลายศตวรรษ หลากหลายแง่มุมทั้งทางการเมืองไปจนถึงความงาม เสน่ห์ ชีวิตรักที่วุ่นวาย เรื่องราวของคลีโอพัตราดูจะไม่มีจุดสิ้นสุด
เรารู้อะไรเกี่ยวกับราชวงศ์ทอเลมีบ้าง ?
ราชวงศ์ทอเลมีเป็นยุคที่น่าสนใจในประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณ ในช่วงเวลา 305 ถึง 30 ปีก่อนคริสตกาล พวกเขาปกครองอียิปต์ในฐานะราชวงศ์สุดท้ายของอียิปต์โบราณ
ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยทอเลมีเป็นหนึ่งในเจ็ดของ somatophylakes – โอเค มันอาจจะอธิบายยาก แต่ถ้าหากเราจะพูดง่าย ๆ ว่าเป็น – ฝ่ายรักษาความปลอดภัย เอ๊ะ มันอาจจะดูไม่ดี เอาเป็นราชองค์รักษ์ อาจจะดูดีหน่อย- ของอเล็กซานเดอร์มหาราช หลังจากการสิ้นพระชนม์ของอเล็กซานเดอร์ในปี 323 ปีก่อนคริสตกาล ทอเลมีได้รับแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีแห่งอียิปต์ ซึ่งโดยทั่วไปหมายความว่าเขาเป็นผู้ปกครองดินแดนนี้
แต่ทอเลมีไม่พอใจที่เป็นเพียงเสนาบดีหรือผู้สำเร็จราชการ เขามีความทะเยอทะยานยิ่งใหญ่กว่านั้น ใน 305 ปีก่อนคริสตกาล ทอเลมีประกาศตนเป็นฟาโรห์ทอเลมีที่ ๑ ซึ่งต่อมารู้จักกันในชื่อ โซเตอร์ หรือ “ผู้ช่วยให้รอด” และชาวอียิปต์ยอมรับเขาและครอบครัวของเขาในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งฟาโรห์แห่งอียิปต์
และราชวงศ์ทอเลมีก็เริ่มต้นปกครองอียิปต์ต่อมาอีกเกือบสามร้อยปี พวกเขาเป็นราชวงศ์ที่พูดภาษากรีก ไม่ใช่ภาษาพื้นเมืองอียิปต์ แต่ขณะเดียวกันก็หลอมรวมเข้ากับวัฒนธรรมอียิปต์อย่างรวดเร็วและรับเอาประเพณีของฟาโรห์มามากมาย พวกเขาสร้างอนุสาวรีย์ที่น่าประทับใจ เช่น ประภาคารฟารอสอันโด่งดังที่อเล็กซานเดรีย หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
แต่ทุกสิ่งไม่มีอะไรจีรังยืนยาว มีเกิด มีดับเป็นธรรมดา ราชวงศ์ทอเลมีถึงกาลอวสาน ใน 30 ปีก่อนคริสตกาล คลีโอพัตราเป็นผู้สืบทอดอำนาจคนสุดท้ายของราชวงศ์ทอเลมีได้ฆ่าตัวตายหลังจากที่พ่ายแพ้ ออคตาเวียนแห่งโรมัน (ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจักรพรรดิออกุสตุสปฐมจักรพรรดิ์จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์) และด้วยเหตุนี้ อียิปต์จึงกลายเป็นแคว้นหนึ่งของอาณาจักรโรมัน
คลีโอพัตราที่เจ็ด
แต่นอกเหนือจากตำนานและนิทานปรัมปราแล้ว คลีโอพัตราตัวจริงเป็นอย่างไร?
เท่าที่ทราบ เกิดเมื่อ 69 ปีก่อนคริสตกาล คลีโอพัตราเป็นสมาชิกของราชวงศ์ทอเลมี และเป็นพระราชินีองค์แรก (และฟาโรต์ทั้งหมด) แห่งราชวงศ์ทอเลมีที่เรียนภาษาอียิปต์
เธอเป็นที่รู้จักจากความเฉลียวฉลาด ความสามารถทางภาษาของเธอ (เธอพูดได้อย่างน้อยเจ็ดภาษา) และสิ่งที่คนมักพูดถึงคือความงามของเธอ ซึ่งเธอใช้เป็นเครื่องมือในการเล่นเกมแห่งอำนาจ รัชสมัยของพระนางต้องดิ้นรนพยายามรักษาเอกราชของอียิปต์เมื่อต้องเผชิญกับการขยายตัวของอาณาจักรโรมัน
ในแง่หนึ่ง เธอเป็นนักการเมืองที่มีความสามารถในการสร้างความผูกพันกับผู้มีอำนาจ อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่าง จูเลียส ซีซาร์ ผู้ยิ่งใหญ่ กับ ปอมปีย์มหาบุรุษ อ็อกโตเวียนกับมาร์ก แอนโทนี
ความสัมพันธ์ที่โรแมนติกของคลีโอพัตรากับชายเหล่านี้ได้กลายเป็นตำนาน เธอเป็นที่รู้จักจากเสน่ห์และพลังเย้ายวนใจของเธอ และเรื่องราวมากมายได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับการแสดงความรักที่ฟุ่มเฟือยของเธอ แต่คลีโอพัตราก็ยังเป็นผู้นำที่มีความสามารถซึ่งต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อประเทศและประชาชนของเธอ
อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุด รัชสมัยของคลีโอพัตราสิ้นสุดลงเมื่อเธอและมาร์ก แอนโทนีพ่ายแพ้ต่ออ็อคตาเวียนในสมรภูมิแอกเทียม คลีโอพัตราเลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง
เรื่องราวของคลีโอพัตราเป็นเรื่องที่ยังคงตรึงใจเรามาจนถึงทุกวันนี้ เป็นเรื่องราวของพลัง ความรัก และโศกนาฏกรรมที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังสือ ละคร และภาพยนตร์มากมาย และในขณะที่เราอาจไม่เคยรู้ความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับคลีโอพัตราตัวจริง ชื่อเสียงของเธอเป็นสัญลักษณ์ของความงาม ความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นเมื่อเผชิญความกดดันในเกมการเมือง
ดำหรือขาว
เรารู้ว่าคลีโอพัตรานั้นสวยงาม มีเสน่ห์ มีความเฉลียวฉลาด แต่เธอผิวขาวหรือดำ?

ชาติพันธุ์ของคลีโอพัตราเป็นหัวข้อถกเถียงมานานหลายปี แม้ว่าจะไม่มีคำตอบที่แน่นอน แต่นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ยอมรับว่าเธอมีเชื้อสายกรีกหรือมาซิโดเนีย อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าราชวงศ์ทอเลมีค เป็นที่รู้จักในเรื่องการสมรสระหว่างครอบครัวของพวกเขาเอง ซึ่งถ้าตามนี้พระนางควรจะมีผิวขาวตามเชื่อชาติกรีก
แต่เราไม่รู้ว่าแม่ของคลีโอพัตราคือใคร (เธอไม่ได้อยู่ในผังครอบครัวของราชวงศ์ทอเลมี) ทำให้บางคนเชื่อว่าเธออาจเป็นลูกสาวของนางสนมผิวดำ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าวว่าไม่มีหลักฐานบ่งชี้ ดังนั้นจึงมีการถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องในหมู่นักประวัติศาสตร์ว่า คลีโอพัตราเป็นคนผิวดำ หรือไม่ นักประวัติศาสตร์ชาวแอฟริกันบางคนอ้างว่าอียิปต์ถูกปกครองโดยอารยธรรมผิวดำ และชาวอียิปต์โบราณส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำ
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับทฤษฎีนี้ นักไอยคุปต์โต้แย้งว่า จริง ๆ แล้วเรื่องมารดาของคลีโอพัตราเป็นหญิงผิวดำ เป็นแนวคิดของนักโบราณคดีแอฟริกันบางคนที่ต้องการเพิ่มความภาคภูมิใจให้กับชนชาติเชื้อสายแอฟริกัน
แต่อียิปต์ในสมัยช่วงสมัยคลีโอพัตราเป็นแหล่งหลอมรวมของวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ที่หลากหลายซึ่งอาจมีการผสมผสานเชื้อชาติอื่นกับชาวอียิปต์พื้นถิ่นอยู่บ้าง ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าเธออาจมีเชื้อสายอื่นนอกเหนือจากเชื้อสายกรีกเช่นกัน
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าหาคำถามเกี่ยวกับเชื้อชาติของคลีโอพัตราด้วยความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ แทนที่จะมองภาพเชื้อชาติในอดีตด้วยสายตาคนปัจจุบัน แนวคิดเรื่องเชื้อชาติตามที่เราเข้าใจในทุกวันนี้ไม่แพร่หลายในสมัยโบราณ และการถามว่าคลีโอพัตราเป็น “คนดำ” หรือ “คนขาว” เป็นวิธีการที่ผิดสมัยการทำความเข้าใจว่าคนโบราณพิจารณาชาติพันธุ์และอัตลักษณ์ของตนอย่างไรจะเป็นประโยชน์มากกว่า คลีโอพัตราเองมีเชื้อสายกรีก มาซิโดเนีย อียิปต์ และโรมัน และการระบุเธอเพียงกลุ่มเดียวตามกลุ่มเชื้อชาติในยุคปัจจุบันโดยไม่คำนึงถึงความซับซ้อนของภูมิหลังของเธออาจทำให้เรามองภาพรวมผิดไปก็ได้
โปรดอ่านเพิ่มเติมในกรณีนี้จาก
https://blog.oup.com/2010/12/cleopatra-2/
https://www.thoughtco.com/was-cleopatra-black-biography-3528680
Iดังนั้น คำถามที่ว่า คลีโอพัตราเป็นคนผิวดำหรือไม่นั้น ยังคงเป็นปริศนา มีหลักฐานเกี่ยวกับชาวอียิปต์โบราณที่อาจถูกมองว่าเป็น “คนผิวดำ” ในแง่ที่ว่าพวกเขาไม่ใช่ชาวอาหรับ ไม่ใช่ชาวฟินิเชียนในแอฟริกา แต่การอ้างอิงถึงชาวอียิปต์ “ผิวดำ” ในตำราโบราณมักมีองค์ประกอบที่เป็นเพศ ผู้หญิงมีความสัมพันธ์กับผิวซีดหรือ “ขาว” ในขณะที่ผู้ชายมีความสัมพันธ์กับผิวคล้ำหรือ “ดำ” การแบ่งนี้ขึ้นอยู่กับเพศ ไม่ใช่เชื้อชาติหรือประเภทเชื้อชาติสมัยใหม่
เมื่อกล่าวถึงการนำเสนอภาพคลีโอพัตราในงานศิลปะและสื่อต่างๆ เราไม่ควรพยายามแยกอัตลักษณ์ต่างๆ ของเธอออก แต่เข้าใจว่าในการนำเสนอแต่ละครั้ง สร้างขึ้นสำหรับผู้ชมที่แตกต่างกัน และสะท้อนแง่มุมต่างๆ ของตัวตนของเธอ
ท้ายที่สุด สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าเชื้อชาติของคลีโอพัตราเป็นเพียงลักษณะหนึ่งของตัวตนของเธอ เธอเป็นผู้ปกครองที่มีบทบาทสำคัญและชาญฉลาด เป็นนักการเมืองที่มีทักษะ และเป็นนักยุทธศาสตร์ที่เชี่ยวชาญ เรื่องราวของเธอเป็นเรื่องที่อยู่เหนือชาติพันธุ์ ชื่อของเธอยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนจากทุกภูมิหลังและวัฒนธรรมมาจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้น ให้เรายกแก้วขึ้นดื่มให้กับราชินีแห่งแม่น้ำไนล์และจดจำเธอไม่ใช่แค่ในฐานะหญิงสาวผู้เย้ายวนใจหรือบุคคลที่น่าเศร้า แต่ในฐานะบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนและน่าหลงใหลที่ทิ้งร่องรอยที่ลบไม่ออกไว้บนโลกใบนี้ ขอส่งกำลังใจให้คุณ คลีโอพัตรา และขอให้ตำนานของคุณเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อไป
แสดงความคิดเห็น