Published on

2 + 2 = 5 ทำไมสองบวกสองถึงเท่ากับห้า? ไม่มีเหตุผลทางคณิตศาสตร์หรือตรรกะใด ๆ ที่จะสนับสนุนข้อกล่าวอ้างที่ว่า 2 + 2 = 5 แต่ประโยคนี้คือตัวอย่างการโฆษณาชวนเชื่อที่มีประวัติศาสตร์ซับซ้อนยาวนานหลายศตวรรษ

จุดกำเนิดของ 2+2=5

การใช้วลี “2+2=5” ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ทราบนั้น ย้อนกลับไปถึงจดหมายที่ลอร์ดไบรอนเขียนในปี ค.ศ. 1813 ถึงแอนนาเบลลา มิลแบงก์ ภรรยาของเขา ในจดหมาย ไบรอนกล่าวติดตลกว่าเขายินดีที่จะพิสูจน์ว่า 2+2=4 หากทำได้ แต่การแปลง 2+2 เป็น 5 จะทำให้เขามีความพึงพอใจมากกว่ามาก

(ค้นหาได้ในหนังสือ Alas! The Love of Women, 1813 – 1814)

-ฉันรู้ว่าสองบวกสองเป็นสี่ – และยินดีที่จะพิสูจน์ด้วยหากทำได้ -แม้ว่าฉันต้องบอกว่าถ้าฉันสามารถแปลงสองบวกสองเป็นห้าด้วยวิธีใดก็ตาม มันจะทำให้ฉันมีความสุขมากขึ้น-

ลอร์ด ไบรอน

แต่วลี “2 + 2 = 5” นี้ เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศสจากงานเขียน Qu’est-ce que le tiers-état? (What is the Third Estate?)  ปีค.ศ. 1789 ของเอ็มมานูเอล โยเซฟ ซีเยส ช่วงก่อนปฏิวัติฝรั่งเศสเล็กน้อยได้จัดทำใบปลิวเผยแพร่ความคิด

Consequently if it be claimed that under the French constitution two hundred thousand individuals out of twenty-six million citizens constitute two-thirds of the common will, only one comment is possible: it is a claim that two and two make five.

What Is the Third Estate?

Qu’est-ce que le tiers-état? เป็นแผ่นพับเผยแพร่ที่ทรงอิทธิพลมาก ว่าด้วยการเอาเปรียบของฐานันดรที่ 1 และ 2 (นักบวช ขุนนาง) เขามองว่าโดยพื้นฐานฐานันดรที่ 3 ซึ่งก็คือประชากรส่วนใหญ่ผู้ต้องทำงานหนักและจ่ายภาษีแพงเพื่อเลี้ยงดูชนชั้น 1 และ 2 แต่กลับไม่มีสิทธิไม่มีเสียงอะไรเลย

และแนวคิด 2+2 = 5 ปรากฏอีกครั้งในงานเขียนของวิกตอร์ อูโก เรื่อง นโปเลียนตัวน้อย(Napoléon le Petit – หมายเหตุ ในภาษาฝรั่งเศสออกเสียงนโปเลยง แต่จะคุ้นกับนโปเลียนมากกว่า) เป็นบทความทางการเมืองถึง ลุยส์-นโปเลยง โบนาปัตร์ ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่สอง ผู้รัฐประหารตัวเอง (เพราะกฎหมายในตอนนั้นไม่ให้ครองตำแหน่งสมัยที่ 2) และสถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศสในปีค.ศ. 1852 และช่วงแรกเขาปกครองประเทศด้วยนโยบายแข็งกร้าว มีคนโดนเนรเทศมากมาย และหลายคนเต็มใจเนรเทศตัวเองอย่างวิกตอร์ อูโกลี้ภัยจากฝรั่งเศสไปบรัสเซลล์และมาปักหลักเกิร์นซี

AXIOMS

บทที่ 8 ชื่อ AXIOMS หรือ สัจพจน์ หรือ การยอมรับความจริงโดยไม่ต้องพิสูจน์ มีความดังนี้

Now, get seven million, five hundred thousand votes to declare that two-and-two-make-five, that the straight line is the longest road, that the whole is less than its part; get it declared by eight millions, by ten millions, by a hundred millions of votes, you will not have advanced a step

อ่านเนื้อหาเต็ม ๆ ที่ได้โปรเจ็กต์กูเทนเบิร์ก หรือค้นหา Napoléon le Petit หรือ Napoleon the Small.

นอกจากวิกตอร์ อูโกแล้ว ฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกีก็ใช้ “2 + 2 = 5” ในหนังสือ บันทึกจากใต้ถุนสังคม (ใช้ชื่อหนังสือไทยตามฉบับแปลของ ศ. ศุภศิลป์ แปลจาก Notes from Underground) ค.ศ. 1864 เช่นกัน โดยมีความนัยถึงเจตจำนงเสรีในการเลือกตรรกะหรือไม่เป็นตรรกะ 

I admit that twice two makes four is an excellent thing, but if we are to give everything its due, twice two makes five is sometimes a very charming thing too. 

ความสำคัญทางวัฒนธรรม

วลี “2+2=5” ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของการโฆษณาชวนเชื่อและการบิดเบือนความจริงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง วลีนี้ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจถึงอันตรายของอำนาจที่ไร้การควบคุม และความสำคัญของการคิดวิเคราะห์และการตั้งคำถามต่ออำนาจ

ในช่วงที่สหภาพโซเวียตริเริ่มแผนเศรษฐกิจห้าปีของโจเซฟ สตาลิน ในปี 1928 เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสังคมอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมแบบรวมศูนย์ วลีนี้ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น รัฐบาลโซเวียตใช้โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อที่มีคำขวัญ “2+2=5” เพื่อกระตุ้นให้คนงานบรรลุโควตาการผลิต และเพื่อเน้นย้ำถึงอำนาจของรัฐเหนือความคิดของปัจเจกบุคคล

2+2=5 Poster
The poster read “The Arithmetic of an Alternative Plan: 2 + 2 plus the Enthusiasm of the Workers = 5,” implying that the hard work and enthusiasm of Soviet workers could make up for any gaps in production numbers.

แม้ว่าโปสเตอร์จะเป็นตัวอย่างของการโฆษณาชวนเชื่อของสหภาพโซเวียต แต่สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือวลี “2 + 2 = 5” เคยถูกใช้ในวรรณกรรมและบทวิจารณ์ทางการเมืองมาก่อน การใช้วลีนี้ในบริบทของสหภาพโซเวียตสะท้อนให้เห็นถึงการที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับผลผลิตและการให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมมากกว่าประเด็นอื่นๆ

โฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda)

หนึ่งในวิธีสำคัญของการโฆษณาชวนเชื่อคือการดึงดูดอารมณ์ของผู้คนมากกว่าเหตุผล การโฆษณาชวนเชื่อใช้เทคนิคการโน้มน้าวใจ เช่น การโน้มน้าวอารมณ์ การใช้ภาษาที่หนักแน่น และการนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างเลือกเฟ้น เพื่อโน้มน้าวความคิดเห็นของผู้คน โฆษณาชวนเชื่อสามารถบงการความคิดและการกระทำของผู้คนในลักษณะที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้มีอำนาจ

โฆษณาชวนเชื่อคือการล้างสมองหรือการบีบบังคับ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เพื่อสร้างศรัทธาอันแรงกล้าในกลุ่มเป้าหมายให้เชื่อหรือปฏิบัติตามเป้าหมายที่ต้องการ คำนี้มีต้นกำเนิดมาจากศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก โดยสมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 15 ได้ก่อตั้งหน่วยงานหนึ่งชื่อว่า คณะเผยแผ่ความเชื่อ (ปัจจุบันคือ คณะเผยแผ่ศาสนาเพื่อประชาชน) ส่งมิชชันนารีเดินทางไปทั่วทุกมุมโลกเพื่อโน้มน้าวผู้คนให้เชื่อในพระเจ้า

นั่นคือจุดเริ่มต้นของการโฆษณาชวนเชื่อ การเผยแพร่ความเชื่อซึ่งนำไปสู่ฐานอำนาจโดยใช้ทุกวิถีทางเพื่อเปลี่ยนแปลงผู้คนจากภายใน ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์เพื่อสร้างความสามัคคี การสร้างศรัทธาเพื่อเผยแผ่และปกป้อง ในช่วงแรกอาจใช้ในทางที่ดี แต่ต่อมากลายเป็นการโจมตีคู่แข่งและยกระดับตนเองให้ดีขึ้น รวมถึงการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน การปิดบัง การปิดบัง การใช้คนจำนวนมากลากตัวออกไป ฯลฯ เพื่อให้คนส่วนใหญ่เห็นว่าสิ่งที่ฝ่ายตนเองได้ทำนั้นดีและสวยงาม

วลี “2 + 2 = 5” ถูกใช้ในบริบทต่างๆ ตลอดประวัติศาสตร์ รวมถึงโดยนักเขียนจอร์จ ออร์เวลล์ ในบทความของเขาในปี 1943 เรื่อง “มองย้อนกลับไปในสงครามสเปน” การใช้วลีนี้ของ จอร์จ ออร์เวลล์สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของเขาเกี่ยวกับการบิดเบือนความจริงและอันตรายของระบอบเผด็จการ

จากบันทึกบางฉบับ จอร์จรู้สึกประหลาดใจกับสุนทรพจน์ของจอมพลแฮร์มันน์ วิลเฮล์ม เกอริง บุคคลสำคัญในนาซีเยอรมนี มีรายงานว่าจอมพลแฮร์มันน์ วิลเฮล์ม เกอริงเคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าผู้นำพูดว่า สองบวกสองเท่ากับห้า แสดงว่าเป็นเช่นนั้น” คำพูดที่น่าสะพรึงกลัวนี้เป็นตัวอย่างวิธีที่ผู้นำเผด็จการพยายามควบคุมความเป็นจริงและหล่อหลอมความเชื่อของผู้ติดตาม

แก่นแท้ของมันคือการยอมรับความจริงโดยปราศจากข้อพิสูจน์ นี่คือทางเข้าสู่ลัทธิบูชาบุคคล และและเชื่อโดยไม่มีข้อโต้แย้ง อำนาจสูงสุดนี้เปรียบเสมือนรัฐในฝันของรัฐบาลทุกประเทศ ที่ประชาชนเชื่อฟังอย่างไม่มีข้อสงสัย พูดอะไรก็ได้แม้ว่าจะขัดกับตรรกะอย่างชัดเจนก็ตาม ในนวนิยายเรื่อง 1984 ก็สะท้อนภาพการโฆษณาชวนเชื่อเป็นกลยุทธ์สำคัญในการปกครองประเทศ