หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว

“หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” (One Hundred Years of Solitude) ประพันธ์โดยกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ (Gabriel García Márquez) นักประพันธ์รางวัลโนเบลชาวโคลอมเบีย เผยแพร่ครั้งแรกเป็นภาษาสเปน “เซียน อาญอส เด โซเลดาด” (Cien años de soledad) เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๐

นวนิยายเล่มนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผลงานวรรณกรรมอันทรงคุณค่าแห่งคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ และเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของวรรณกรรมแนวสัจนิยมมหัศจรรย์ อันเป็นแนวการประพันธ์ที่ผสมผสานองค์ประกอบเหนือจริงเข้ากับฉากและเหตุการณ์อันสมจริง

หลังจากจดบันทึกเรื่องคดีลิขสิทธิ์ “หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง ก็ได้เวลาหยิบเล่มนี้ขึ้นมาอ่านเพื่อทบทวนความจำอีกสักครั้ง

ปณิธาน-ร.จันเสน แปล One Hundred Years of Solitude ฉบับภาษาอังกฤษสำนวน เกรกกอรี ราบาสซา ตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์วลีเมื่อปีค.ศ. ๒๕๒๙

ชนฤดี ปลื้มปวารณ์ แปล Cien años de soledad จากต้นฉบับภาษาสเปน พิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์บทจร ปีค.ศ. ๒๕๖๒

เรื่องลิขสิทธิ์ได้เขียนถึงไปแล้ว ก็คงไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติม ครั้งนี้จะเขียนถึงนวนิยายเล่มนี้เพื่อบันทึกความทรงจำ

หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว

นวนิยายเรื่องนี้ได้ถักทอสัจนิยมมหัศจรรย์เข้ากับชีวิตของตระกูลบวนเดียหลายชั่วอายุคน ในเมืองสมมติชื่อมาก็อนโด ที่ซึ่งทุกอย่างเกิดและแตกดับในวัฏจักรกาลเวลาที่หมุนซ้ำรอยโชคชะตาที่น่าเศร้า

เหตุการณ์ทั้งปวงในเรื่องนี้เกิดขึ้นในเมืองสมมติชื่อ “มาก็อนโด” ซึ่งตัดขาดจากโลกภายนอก ก่อร่างสร้างเมืองโดย โฆเซ อาร์กาดิโอ บวนเดีย ซึ่งจะนับเป็นบวนเดียรุ่นแรก เมืองนี้เริ่มจากหมู่บ้านเล็ก ๆ อันสงบสุข เติบโตกลายเป็นเมืองใหญ่อันมั่งคั่ง ความรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมจากแรงภายนอก อาทิ สงคราม ผู้รุกรานต่างถิ่น (คนงานบริษัทกล้วย) และภัยธรรมชาติ (ฝนตกนานสี่ปี) ในช่วงปีที่ตามมาหลังฝนตก เมืองเริ่มว่างเปล่า เฉกเช่นเดียวกับคฤหาสน์ของตระกูลบวนเดียตามด้วยพายุลมแรงมหาศาลที่กวาดล้างเมืองให้สูญสิ้นจากแผนที่

ด้วยกลวิธีการนำเสนอของกาเบรียลในหนึ่งร้อยปีของความโดดเดี่ยวนี้ พอจะแยกเป็น ​๓ ประเด็นที่น่าสนใจ

  1. สัจนิยมมหัศจรรย์
  2. วัฏจักรของกาลเวลา
  3. อุปมาทางประวัติศาสตร์

สัจจนิยมมหัศจรรย์

นวนิยายเรื่องนี้ได้รับการสรรเสริญในการใช้สัจนิยมมหัศจรรย์โดดเด่น ผสมผสานความธรรมดาสามัญเข้ากับสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยเหตุการณ์อันน่าพิศวงถูกนำเสนอราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา

ยกตัวอย่างเช่น:

  • ตัวละครหนึ่งลอยขึ้นสู่สวรรค์ขณะซักผ้า
  • ฝนตกติดต่อกันนานหลายปี
  • ผู้คนมีชีวิตยืนยาวอย่างน่าอัศจรรย์ หรือคงความเยาว์วัยด้วยวิธีแปลกประหลาด

เหตุการณ์มหัศจรรย์เหล่านี้เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติประจำวัน เลือนเส้นแบ่งระหว่างความจริงและจินตนาการ กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ใช้เทคนิคนี้ให้ผู้อ่านไตร่ตรองถึงประเด็นทางประวัติศาสตร์ การเมือง และสังคมด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างเช่น การสังหารหมู่คนงานสวนกล้วย สะท้อนความจริงทางประวัติศาสตร์ที่ถูกปิดบังโดยเรื่องเล่า ขณะเดียวกันก็ล่องลอยไปในโลกมหัศจรรย์อันเหนือจริงที่ไม่มีทางเป็นไปได้

วัฏจักรของกาลเวลา

เรื่องราวยาวนานผ่านหนึ่งศตวรรษไปกับสมาชิกตระกูลบวนเดียเจ็ดชั่วคน เรื่องราวครอบคลุมตั้งแต่ยุคหลังอาณานิคมในทศวรรษ 1820 จนถึงทศวรรษ 1920 (โดยประมาณ) สะท้อนประวัติศาสตร์อันวุ่นวายของละตินอเมริกาในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่มาก็อนโดวิวัฒน์จากสังคมในอุดมคติอันรุ่งเรืองสู่เมืองที่เสื่อมโทรม ต้องเผชิญกับความท้าทายนานัปการ ทั้งความรัก อำนาจ สงคราม ความโดดเดี่ยว ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และความวุ่นวายทางการเมือง สะท้อนเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อันยาวนานของโคลอมเบีย (หรือแม้แต่ละตินอเมริกาทั้งหมด)

แนวคิดเรื่องกาลเวลาเป็นวัฏจักรหมายความว่าประวัติศาสตร์ดูเหมือนจะวนเวียนซ้ำรอย ในนวนิยาย เหตุการณ์ต่างๆ เช่น สงคราม เรื่องราวความรัก การทรยศ และความโดดเดี่ยว เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าข้ามหลายชั่วอายุคน ลูกหลานต่างรุ่นของตระกูลบวนเดียมักพบเจอเหตุการณ์คล้ายคลึงกัน ทำความผิดพลาดเดิมซ้ำ และบางครั้งแม้แต่มีชื่อเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ตัวละครหลายคนชื่อ โฆเซ อาร์กาดิโอ หรือ อูเรลีย่าโน และชีวิตของพวกเขามักไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า

เพื่อให้เห็นภาพรวมได้ชัดเจนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ขออนุญาตเล่าความเป็นไปของแต่ละรุ่น

รุ่นที่หนึ่ง

โฆเซ อาร์กาดิโอ บวนเดีย และอูร์ซูลา อิกวารัน (ภรรยา) ทั้งคู่คือผู้ก่อตั้งก่อตั้งมาก็อนโดหลังจากออกจากบ้านเกิดเพื่อแสวงหาชีวิตใหม่

โฆเซ อาร์กาดิโอ บวนเดีย ผู้ก่อตั้งมาก็อนโดและบิดาแห่งตระกูลบวนเดีย ความหมกมุ่นของเขากับวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์ในที่สุดทำให้เขาสติฟั่นเฟือน เขาใช้เวลาหลายปีถูกมัดติดกับต้นไม้ในความโดดเดี่ยว และนี่คือจุดเริ่มต้นของความโดดเดี่ยว

อูร์ซูลา อิกัวรัน มารดาผู้เข้มแข็งแห่งตระกูลบวนเดีย นางมีชีวิตยืนยาวอย่างน่าอัศจรรย์และพยายามยึดเหนี่ยวครอบครัวไว้ท่ามกลางความโชคร้ายที่เพิ่มพูน นางเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคง แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งความเสื่อมถอยของตระกูลในที่สุด

รุ่นที่สอง

บุตรชายของโฆเซ อาร์กาดิโอ บวนเดีย คือ  โฆเซ อาร์กาดิโอ (บุตรชายคนโต) และอูเรลีย่าโน (ต่อมาคือพันเอกอูเรลีย่าโน บวนเดีย)

พันเอกอูเรลีย่าโน บวนเดียกลายเป็นผู้นำในสงครามกลางเมืองหลายครั้ง ช่วงเวลานี้ของเส้นประวัติศาสตร์สะท้อนประวัติศาสตร์การเมืองละตินอเมริกา โดยเฉพาะการต่อสู้ระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยม แม้จะมีอำนาจ อูเรลีย่าโนกลับจบลงด้วยความโดดเดี่ยวและผิดหวัง ใช้เวลาทำปลาทองเล็ก ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ปลาทองที่พันเอกอูเรลีย่าโนสร้างขึ้นอย่างหมกมุ่นเป็นสัญลักษณ์ของอุดมคติที่สูญหายไปของเขาและความไร้ประโยชน์ของงานในชีวิตของเขา การสร้างและทำลายปลาทองเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นตัวแทนของวัฏจักรประวัติศาสตร์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดและความรู้สึกไร้จุดหมายของพันเอกเอง

เรเมดิโอส ตัวละครลึกลับผู้มีความงามอันน่าอัศจรรย์ นางบริสุทธิ์และไม่ยึดติดกับโลกวัตถุมากเสียจนในที่สุดลอยขึ้นสู่สวรรค์ 

รุ่นที่สาม

อูเรลีย่าโน โฆเซ: หนึ่งในบุตรนอกสมรสมากมายของอูเรลีย่าโน ชีวิตของเขาสะท้อนบิดาของตน แต่เขาก็เผชิญชะตากรรมอันน่าสลด

รุ่นที่สี่และห้า

ขณะที่มาก็อนโดเติบโต บริษัทกล้วยของอเมริกาเข้ามาและเริ่มเอารัดเอาเปรียบคนงานในเมือง นำไปสู่การสังหารหมู่คนงาน หนึ่งในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์สำคัญในนวนิยาย ซึ่งบริษัทกล้วยต่างชาติเอารัดเอาเปรียบคนงานของมาก็อนโด เมื่อคนงานประท้วงหยุดงาน ต่างพบจุดจบด้วยการสังหารหมู่นับพัน การสังหารหมู่นี้ถูกลบออกจากประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการในภายหลัง และผู้คนส่วนใหญ่ในมาก็อนโดแทบจำไม่ได้ แก่นเรื่องของนวนิยายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่ถูกลืม

ในยุคสมัยนี้คือจุดเริ่มต้นของหายนะ เราได้เห็นความเสื่อมถอยของตระกูลบวนเดียที่รุ่นหลัง ยังคงทำซ้ำความผิดพลาดของบรรพบุรุษ นำไปสู่ความโดดเดี่ยว ความบ้าคลั่ง และการหมกมุ่นกับอดีตที่มากขึ้น

รุ่นที่หกและเจ็ด

รุ่นสุดท้าย: อูเรลีย่าโน บวนเดียคนสุดท้ายค้นพบประวัติศาสตร์ของตระกูลผ่านตำราโบราณที่เขียนโดยยิปซีนามว่าเมลกีอาเดส เขาตระหนักว่าชะตากรรมของตระกูลบวนเดียถูกทำนายไว้นานมาแล้ว และการกระทำซ้ำๆ รวมถึงโศกนาฏกรรมของพวกเขาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ขณะที่อูเรลีย่าโนถอดรหัสคำทำนายสุดท้าย ลมหมุนทำลายมาก็อนโด ลบมันออกจากการมีตัวตน เป็นเครื่องหมายแห่งการสิ้นสุดของสายตระกูลและตัวเมืองเอง

อูเรลีย่าโน บวนเดียคนสุดท้ายในสายตระกูล เขาถอดรหัสคำทำนายของตระกูลบวนเดียที่เขียนไว้ในตำราของเมลกีอาเดส เขาตระหนักว่าตระกูลถูกลิขิตให้วนเวียนซ้ำรอยประวัติศาสตร์จนกว่าจะถึงความพินาศในที่สุด เขาอยู่ร่วมเหตุการณ์เมื่อมาก็อนโดถูกทำลายโดยลมหมุนในที่สุด

การบุกรุกของมดในช่วงท้ายของนวนิยายเป็นสัญลักษณ์ของความเสื่อมโทรมและการทำลายล้างในที่สุดของครอบครัวบวนเดียและมาก็อนโด

นวนิยายเรื่องนี้สำรวจความรักในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีผลที่ตามมาแตกต่างกัน มักนำไปสู่โศกนาฏกรรม ความผิดศีลธรรม หรือความปรารถนาที่ไม่สมหวัง ทั้งความสัมพันธ์โรแมนติกในนวนิยายเรื่องนี้มักจะเข้มข้นและเร่าร้อน แต่บ่อยครั้งก็จบลงด้วยโศกนาฏกรรมหรือความผิดหวัง ตัวอย่างเช่น ความรักระหว่างอามารานตาและปิเอโตร เครสปีนั้นเต็มไปด้วยความอิจฉา การปฏิเสธ และท้ายที่สุดคือความตาย

ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวนั้นแข็งแกร่งแต่ซับซ้อน ความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ ซึ่งเป็นธีมที่ปรากฏขึ้นซ้ำ ๆ ในนวนิยายเรื่องนี้ เน้นย้ำถึงความตึงเครียดระหว่างความรักและบรรทัดฐานทางสังคม ความปรารถนาทางโลกีย์มักนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้าย ความสัมพันธ์ของ ของโฆเซ อาร์กาดิโอกับไพลาส่งผลให้ลูกชายของเขามีพฤติกรรมรุนแรงและมีแรงกระตุ้นที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของธรรมชาติที่ทำลายล้างของความปรารถนาที่ไม่อาจควบคุมได้

อุปมาทางประวัติศาสตร์

การมาถึงของบริษัทกล้วยในมาก็อนโดทำให้เกิดความทันสมัยและการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ก็นำไปสู่การเอารัดเอาเปรียบ การเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม และการทำลายวัฒนธรรมท้องถิ่น การสังหารหมู่คนงานที่หยุดงาน ซึ่งต่อมาถูกลบออกจากประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ เป็นการวิจารณ์อำนาจของกองกำลังจักรวรรดินิยมและวิธีที่พวกเขาบิดเบือนความเป็นจริงเพื่อรักษาการควบคุม

กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ สะท้อนประวัติศาสตร์แห่งการเอารัดเอาเปรียบโดยบริษัทต่างชาติในละตินอเมริกา สิ่งนี้สะท้อนเหตุการณ์จริงซึ่งบรรษัทต่างชาติมีอำนาจควบคุมเหนือเศรษฐกิจและรัฐบาลท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นว่าทุนนิยมทำลายโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจของมาก็อนโดอย่างไร นำไปสู่ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม การสูญเสียอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และท้ายที่สุดคือเมืองล่มสลาย

การที่คนทั้งเมืองพร้อมใจกันความจำเสื่อมเกี่ยวกับการสังหารหมู่กล้วยแสดงให้เห็นว่าสังคมสามารถเลือกที่จะลืมความจริงที่เจ็บปวด ความทรงจำที่เลือกสรรนี้สะท้อนให้เห็นถึงธีมที่กว้างขึ้นของประวัติศาสตร์ที่ถูกจัดการหรือลบล้างโดยผู้มีอำนาจ

ในขณะเดียวกัน ตัวละครแต่ละตัวก็มีปัญหาเรื่องความทรงจำเช่นกัน เมื่ออายุมากขึ้น อูร์ซูลาเริ่มสูญเสียความทรงจำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเลือนหายไปของอดีตและการเสื่อมถอยของครอบครัว การสูญเสียความทรงจำแสดงถึงการสูญเสียอัตลักษณ์และความต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายในที่สุดของครอบครัวบวนเดีย

นวนิยายสะท้อนความไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่รังควานประเทศละตินอเมริกาตลอดคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ และ ๒๐ การที่พันเอก อูเรลีย่าโน บวนเดีย มีส่วนร่วมในสงครามนับครั้งไม่ถ้วนเป็นสัญลักษณ์แทนความขัดแย้งอันไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างฝ่ายเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมในภูมิภาค

เรื่องราวของตระกูลบวนเดียสะท้อนแง่มุมของอัตลักษณ์ มรดกตกทอด และภาระของอดีต สะท้อนการต่อสู้ของละตินอเมริกากับประวัติศาสตร์อาณานิคมและความเป็นลูกผสมทางวัฒนธรรม

ผู้หญิงในหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวเป็นหัวใจสำคัญของความมั่นคงและความต่อเนื่องของตระกูลบวนเดียและเมืองมาก็อนโด พวกเธอเป็นเสาหลักที่แท้จริงของครอบครัวและสังคม ต่างจากผู้ชายที่มักจะหลงทางไปกับความหมกมุ่นอยู่กับสงคราม อำนาจ หรือการแสวงหาความรู้

อูร์ซูลา มารดาของตระกูลบวนเดีย เป็นสัญลักษณ์ของความอดทนและภูมิปัญญาที่ใช้งานได้จริง เธอจัดการบ้าน ดูแลการเงินของครอบครัว และมีอายุยืนยาวกว่าลูกหลานส่วนใหญ่ของเธอ ทำให้ครอบครัวอยู่รอดได้หลายชั่วอายุคน ตัวละครของเธอมีความแตกต่างอย่างชัดเจนกับพฤติกรรมที่มักจะไม่แน่นอนและทำลายตัวเองของผู้ชายในครอบครัว

หรือ เรเมดิโอส แม้ว่าเธอจะเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์และความงามในอุดมคติ แต่ตัวละครของเธอยังเน้นย้ำถึงความไม่สอดคล้องระหว่างจิตวิญญาณและโลกอีกด้วย การที่เธอได้ขึ้นสวรรค์ในที่สุดนั้น อาจแสดงให้เห็นได้ว่าความดีงามบริสุทธิ์ไม่เหมาะที่จะอยู่ในมาก็อนโด แต่ได้ใช้กลวิธีลึกลับและการแยกตัวจากโลกกายภาพและโลกวัตถุสายทางสัจนิยมมหัศจรรย์

สตรีอื่นในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น เฟอร์นันดา เดล คาร์ปิโอ อามารานตา และซานตาโซเฟีย เดอ ลา ปิเอดาด ต่างสะท้อนความแข็งแกร่ง การเสียสละ และความอดทนของผู้หญิงในแง่มุมต่างๆ พวกเธอต้องทนทุกข์กับความโดดเดี่ยว ความรักที่ไม่สมหวัง และการสูญเสียส่วนตัวครั้งใหญ่ แต่พวกเธอก็ยังคงประคองครอบครัวเอาไว้ได้

หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว อันจีรัง

ด้วยการหลอมรวมประวัติศาสตร์ ตำนาน และวัฒนธรรมของละตินอเมริกาเข้ากับองค์ประกอบเหนือธรรมชาติ นวนิยายของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ได้มอบเสียงใหม่ให้แก่วรรณกรรมละตินอเมริกา และแนะนำโลกให้รู้จักกับแนวคิด “ความจริงอันน่าพิศวง” อันเป็นมุมมองของละตินอเมริกาที่มองว่าความมหัศจรรย์เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นจริง

นวนิยายเรื่องนี้ช่วยทำให้การใช้ความสมจริงเชิงมายากลเป็นรูปแบบวรรณกรรมในวรรณกรรมละตินอเมริกาแข็งแกร่งขึ้น มีอิทธิพลต่อนักเขียน เช่น อิซาเบล อัลเลนเด ซึ่งใช้เทคนิคที่คล้ายคลึงกันในผลงานของเธอเรื่อง The House of the Spirits

อิทธิพลทั่วโลก: นอกเหนือจากละตินอเมริกาแล้ว นวนิยายเรื่องนี้ยังสร้างแรงบันดาลใจให้นักเขียนทั่วโลกสำรวจการผสมผสานระหว่างจินตนาการและความเป็นจริงในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของตนเอง ตัวอย่างเช่น ซัลมาน รัชดี กล่าวถึงการ์เซีย มาร์เกซว่าเป็นผู้มีอิทธิพ ลสำคัญต่อผลงานของเขา โดยเฉพาะเรื่อง Midnight’s Children ซึ่งผสมผสานประวัติศาสตร์อินเดียเข้ากับองค์ประกอบเวทมนตร์ในลักษณะที่ชวนให้นึกถึงเรื่อง One Hundred Years of Solitude

นวนิยายเรื่องนี้มีบทบาทสำคัญใน “ยุครุ่งเรือง” ของวรรณกรรมละตินอเมริกา ซึ่งเป็นช่วงเวลาในทศวรรษ 1960 และ 1970 ที่นักเขียนจากภูมิภาคนี้ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติจากเทคนิคการเล่าเรื่องอันเป็นนวัตกรรมและการเล่าเรื่องอันทรงพลัง นักประพันธ์เช่น มาริโอ บาร์กัส โยซา, ฆูลิโอ กอร์ตาซาร์ และคาร์ลอส ฟูเอนเตส ก็เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการนี้ แต่ “หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” กลายเป็นบทประพันธ์ที่กำหนดนิยามของยุครุ่งเรืองแห่งวรรณกรรมละตินอเมริกา

“หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” ถือเป็นหนึ่งในผลงานสำคัญและทรงอิทธิพลที่สุด มิใช่เพียงในวรรณกรรมละตินอเมริกา แต่ในวรรณกรรมโลก ขายได้กว่า ๕๐ ล้านเล่มและได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย ตอกย้ำสถานะของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ในฐานะบุคคลสำคัญของวรรณกรรมโลก นวนิยายเรื่องนี้มีอิทธิพลต่อนักเขียนนับไม่ถ้วนและยังคงเป็นหลักในการศึกษาวรรณกรรมด้วยเนื้อหาการเล่าเรื่องอันลึกซึ้งและแก่นเรื่องอันลุ่มลึก นวนิยายเรื่องนี้มีส่วนสำคัญในการทำให้กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ ซึ่งเขาอุทิศให้แก่มรดกทางวรรณกรรมอันกว้างใหญ่ของละตินอเมริกา

Published by

Unnamed Sheep

The Lord is my shepherd, I shall not want He makes me down to lie Through pastures green He leadeth me the silent waters by With bright knives, he releaseth my soul

แสดงความคิดเห็นCancel reply

Exit mobile version