คดีลิขสิทธิ์ อกาธา คริสตี้ เกิดขึ้นเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๓๙ ตัวแทนจากสำนักพิมพ์เรือสัมปั้นที่ได้รับลิขสิทธิ์ให้จัดพิมพ์แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยจากบริษัท อกาธา คริสตี้ ผู้ถือลิขสิทธิ์วรรณกรรมของอกาธา คริสตี้ ฟ้องศาลว่าบริษัทสร้างสรรค์-วิชาการ และพวก แปลและจำหน่ายนวนิยายของ อกาธา คริสตี โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเรียกเงินค่าเสียหายเป็นจำนวน ๓๕ ล้านบาท ซึ่ง คดีลิขสิทธิ์ อกาธา คริสตี้นี้เป็นกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจมากในประวัติศาสตร์ด้านการแปลของไทย
สำหรับคนที่ไม่ชอบอ่านอะไรยาว ๆ แกะไร้ชื่อขอสรุปสั้น ๆ คดีลิขสิทธิ์ อกาธา คริสตี้ จบที่การยกฟ้องจำเลย
สำหรับท่านนักอ่าน ผู้มีเวลาพิจารณารายละเอียด ขอคัดลอกคำพิพากษาฎีกา ให้อ่านเพื่อการศึกษากัน
https://ipitc.coj.go.th/th/search/search?text=3797%2F2548
แต่เพื่อความเหมาะสม (ของแกะไร้นาม) ขออนุญาตแบ่งวรรค ทำหัวข้อใหม่เพิ่มเติม ซึ่งไม่ถูกต้องตามที่เผยแพร่จากศาลฯ ต้องขออภัยอย่างสูงสุด
คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๗๙๗/๒๕๔๘ คดีลิขสิทธิ์ อกาธา คริสตี้
บริษัทอกาธา คริสตี้ จำกัด โจทก์
บริษัทสร้างสรรค์ – วิชาการ จำกัด ที่ ๑ กับพวก จำเลย
เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
เหตุผลของผู้ฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ตามหนังสือรับรอง เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑
โจทก์เป็นเจ้าของงานลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรม รวม ๒๘ เรื่อง ทั้งนี้ งานวรรณกรรมดังกล่าวเป็นงานที่เป็นไปตามเงื่อนไขและวิธีการซึ่งกฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์ของประเทศสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ กำหนดไว้ และได้โฆษณาเผยแพร่เป็นครั้งแรกในประเทศสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเป็นประเทศที่เกิดแห่งงานนั้น ตามรายละเอียดชื่อหนังสือ ประเทศ วัน เดือน ปี ที่โฆษณางานครั้งแรก พร้อมคำแปล เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๒
งานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ดังกล่าวได้รับความคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ เนื่องจากประเทศสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ เป็นภาคีแห่งอนุสัญญากรุงเบอร์น ว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรมอันเป็นอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย
โจทก์ได้ทำข้อตกลงกับนางสุคนธา แซ่อึ้ง ให้เป็นตัวแทนของโจทก์แต่ผู้เดียวในประเทศไทย โดยนางสุคนธามีอำนาจที่จะจัดการในส่วนที่เกี่ยวกับลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมและสิ่งบันทึกเสียงบันทึกภาพในประเทศไทยที่เป็นผลงานของโจทก์ได้ และมีอำนาจที่จะติดต่อผู้อื่นเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมลิขสิทธิ์ การแปล การจัดพิมพ์หนังสือของโจทก์ในประเทศไทย ตามสำเนาข้อตกลงตัวแทนแต่เพียงผู้เดียว เอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข ๓
นอกจากนี้โจทก์ได้มอบอำนาจให้นางสุคนธามีอำนาจที่จะดำเนินคดีฟ้องร้องบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลทั้งทางแพ่งและทางอาญา อันเนื่องมาจากการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมและสิ่งบันทึกเสียงบันทึกภาพ ซึ่งมีเนื้อหาทั้งหมดหรือบางส่วนที่ถูกสร้างสรรค์โดยโจทก์ ตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจพร้อมคำแปล เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๔
จำเลยที่ ๑ มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนไว้ที่สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตามสำเนาหนังสือรับรอง เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๕
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ มีฐานะเป็นกรรมการบริษัทจำเลยที่ ๑ ในช่วงเดือนกันยายน ๒๕๓๙ ถึงธันวาคม ๒๕๓๙ มีอำนาจลงนามและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ ๑ กระทำการผูกพันบริษัทจำเลยที่ ๑ ได้ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ จึงต้องรับผิดในฐานะกรรมการบริษัทจำเลยที่ ๑ และรับผิดในฐานะส่วนตัว
จำเลยที่ ๖ มีฐานะเป็นบรรณาธิการของสำนักพิมพ์น้องใหม่ ซึ่งเป็นสำนักงานพิมพ์อยู่ในเครือบริษัทจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๗ เป็นผู้แปลงานวรรณกรรมบางเล่มของโจทก์เป็นภาษาไทย
เมื่อระหว่างเดือนกันยายน ๒๕๓๙ ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๓๙ เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งเจ็ดได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน โดยจำเลยที่ ๖ ในฐานะเป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาของสำนักพิมพ์น้องใหม่ได้นำงานวรรณกรรมของโจทก์มาจัดพิมพ์เป็นฉบับภาษาไทย จำนวน ๒๘ เรื่อง ได้แก่
- เรื่อง แผนสังหาร
- เรื่อง ฆ่าเพราะรัก
- เรื่อง ม้ามัจจุราช
- เรื่อง เล่ห์มัจจุราช
- เรื่อง แบกแดดแดนมหันตภัย
- เรื่อง ลางสังหาร
- เรื่อง ฆาตกรจำแลง
- เรื่อง ฆาตกรรมพิศวง
- เรื่อง โจรกรรมวิตถาร
- เรื่อง นัดมรณะ
- เรื่อง สนามกอล์ฟมรณะ
- เรื่อง เกมมรณะ
- เรื่อง คดีฆาตกรโรเจอร์ แอกครอยด์
- เรื่อง ฆาตกรย้อนรอย
- เรื่อง เพชรมรณะ
- เรื่อง โหดวิปริต
- เรื่อง เฉือนคมปัวโรด์
- เรื่อง ความลี้ลับ
- เรื่อง คืนหฤโหด
- เรื่อง คดีเงียบ
- เรื่อง เล่ห์สังหาร
- เรื่อง อุทธรณ์จากหลุมศพ
- เรื่อง สาวชาวแฟลต
- เรื่อง เครื่องเพชรมหาภัย
- เรื่อง คฤหาสน์มฤตยู
- เรื่อง ฆาตกรรมยุคฟาโรห์
- เรื่อง ศัตรูลับ
- และเรื่อง ยาพิษในแก้วผลึก
โดยจำเลยที่ ๖ ระบุในหนังสือที่จัดพิมพ์ว่า แปลมาจาก
- เรื่อง Toward Zero
- เรื่อง Nemesis
- เรื่อง The Pale Horse
- เรื่อง They Do IT with Mirrors
- เรื่อง They Came to Bagdad
- เรื่อง The mirrors Crack’D From
- เรื่อง Three Act Tragedy
- เรื่อง Surprise Surprise
- เรื่อง Hickory Dickory Dock
- เรื่อง Appointment with Depth
- เรื่อง The Murder on the Links
- เรื่อง Dead Man’s Folly
- เรื่อง The Murder of Roger Ackroyd
- เรื่อง Why Didn’t They Ask Evans?
- เรื่อง The Man in the Brown Suit
- เรื่อง A Caribbean Mystery
- เรื่อง Poirot Investigates
- เรื่อง The Mysterious Affair at Styles
- เรื่อง Endless Night
- เรื่อง Sleeping Murder
- เรื่อง The Seven Dials Mystery
- เรื่อง Ordeal by Innocence
- เรื่อง Third Girl
- เรื่อง Cat Among The Pigeons
- เรื่อง The Secret of Chimneys
- เรื่อง Death Comes as the End
- เรื่อง The Secret Adversary
- และเรื่อง Sparkling Cyanide ของโจทก์ ตามลำดับ
จำเลยที่ ๗ เป็นผู้แปลวรรณกรรมของโจทก์เป็นภาษาไทย จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่
- เรื่อง ฆ่าเพราะรัก แปลมาจากเรื่อง Nemesis
- เรื่อง คดีฆาตกรรมโรเจอร์ แอคครอยด์ แปลมาจากเรื่อง The Murder of Roger Ackroyd
- เรื่อง ฆาตกรย้อนรอย แปลมาจากเรื่อง Why Didn’t They Ask Evans?
- เรื่อง เพชรมรณะ แปลมาจากเรื่อง The Man in the Brown Suit
- และเรื่อง ยาพิษในแก้วผลึก แปลมาจากเรื่อง Sparkling Cyanide
ซึ่งเล่มอื่น ๆ มีบุคคลอื่นที่โจทก์ยังมิได้ฟ้องเป็นผู้แปล
จำเลยที่ ๖ เป็นผู้พิมพ์งานวรรณกรรมที่แปลโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ดังกล่าว ทั้งนี้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ เป็นผู้จัดจำหน่ายทั่วราชอาณาจักร โดยการออกโฆษณา จำหน่าย ขาย เสนอขายแก่บุคคลอื่นเพื่อการค้า โดยจำเลยทั้งเจ็ดรู้อยู่แล้วว่างานดังกล่าวได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ ได้นำไปวางจำหน่ายในร้านและแผงขายหนังสือทั่วกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด
โจทก์แต่งตั้งให้นางสุคนธา แซ่อึ้ง เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวในการดูแลงานวรรณกรรมของโจทก์ประเทศไทย หนังสือทั้ง ๒๘ เรื่องดังกล่าวได้รับการพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาอังกฤษ แต่โจทก์ไม่เคยจัดให้มีหรืออนุญาตให้ผู้ใดในประเทศไทยจัดทำคำแปลเป็นภาษาไทยและโฆษณาคำแปลนั้นในประเทศไทยภายใน ๑๐ ปี นับแต่วันสิ้นปีปฏิทินของปีได้มีการโฆษณาหนังสือทั้ง ๒๘ เรื่องเป็นครั้งแรกในประเทศสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ
หนังสือทั้ง ๒๘ เรื่อง ของโจทก์ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยในปีและโดยบุคคลต่าง ๆ ตามลำดับดังนี้
ในช่วงปี ๒๕๒๒ ถึงปี ๒๕๒๕ รวม ๑๕ เรื่อง กล่าวคือ
- ใน ๒๕๒๒ ถึงปี ๒๕๒๓ จำนวน ๑ เรื่อง คือ Hickory Dickory Dock แปลเป็นภาษาไทย เรื่องโจรกรรมวิตถาร โดยนายปรีชาและนางดวงตา ส่งสัมพันธ์
- ใน ๒๕๒๓ จำนวน ๑๑ เรื่อง ได้แก่
- เรื่อง The Murder of Roger Ackroyd แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง คดีฆาตกรรมโรเจอร์ แอกครอยด์
- เรื่อง Nemesis แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง ฆ่าเพราะรัก
- เรื่อง Why Didn’t They Ask Evans? แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง ฆาตกรย้อนรอย
- เรื่อง The Man in the Brown Suit แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง เพชรมรณะ
- และเรื่อง Sparkling Cyanide แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง ยาพิษในแก้วผลึก
- ซึ่งทั้ง ๕ เรื่องนี้ แปลโดยจำเลยที่ ๗
- เรื่อง Toward Zero แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง แผนสังหาร
- และเรื่อง The Murder on the Links แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง สนามกอล์ฟมรณะ
ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้แปลโดยนายปรีชา และนางดวงตา ส่งสัมพันธ์
- เรื่อง Sleeping Murder แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง คดีเงียบ โดยนายศิริพงษ์ จันทร์หอม
- เรื่อง Appointment with Death แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง นัดมรณะ โดยนายสุวิทย์ ขาวปลอด
- เรื่อง The Seven Dials Mystery แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง เล่ห์สังหาร
- และเรื่อง The Secret Adversary แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง ศัตรูลับ
ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้แปลโดย เฉลิมศรี จันทร์หอม
ใน ๒๕๒๔ จำนวน ๑ เรื่อง ได้แก่ The Mysterious Affair at Styles แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง ความลี้ลับเหนือเคหาสน์สไตลส์ แปลโดย ดวงใจ กวียะ
และในปี ๒๕๒๕ จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่
- เรื่อง Third Girl แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง สาวชาวแฟลต โดยเปี่ยมสุข
- และเรื่อง Endless Night แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง คืนหฤโหด โดยสุวิทย์ ขาวปลอด
และในช่วงตั้งแต่วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ ถึง ๒๗ กันยายน ๒๕๓๖ จำนวน ๑๓ เรื่อง ได้แก่
- เรื่อง Poirot Investigates แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง เฉือนคมปัวโรด์ โดยนางสาวอัญชลี ชลรัตนกุล
- เรื่อง The Pale Horse แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง ม้ามัจจุราช
- เรื่อง Surprise Surprise แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง ฆาตกรรมพิศวง
- เรื่อง Dead Man’s Folly แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง เกมมรณะ
- และเรื่อง Death Comes as the End แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง ฆาตกรรมยุคฟาโรห์
ซึ่งทั้งสี่เรื่องนี้แปลโดยนายปรีชาและนางดวงตา ส่งสัมพันธ์
- เรื่อง They Do It with Mirrors แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง เล่ห์มัจจุราช
- เรื่อง Cat Among The Pigeons แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง เครื่องเพชรมหาภัย
- และเรื่อง The Secret of Chimneys แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง คฤหาสน์มฤตยู
ซึ่งทั้งสามเรื่องนี้แปลโดยเปี่ยมสุข
- เรื่อง They Came to Bagdad แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง แบกแดดแดนมหันตภัย โดยดวงตาและเปี่ยมสุข
- เรื่อง The mirrors Crack’D From แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง ลางสังหาร
- และเรื่อง Three Act Tragedy แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง ฆาตกรจำแลง
ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้แปลโดยกัณหา แก้วไทย
- เรื่อง A Caribbean Mystery แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง โหดวิปริต โดยมิ่งขวัญ
- และเรื่อง Ordeal by Innocence แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง อุทธรณ์จากหลุมศพ โดยดวงตา
ตั้งแต่วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๓๖ อันเป็นวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนไขเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๖ มีผลใช้บังคับเป็นต้นมา ปรากฏว่าไม่มีการแปลวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษทั้ง ๒๘ เรื่อง ของโจทก์เป็นภาษาไทยอีก และต่อมามีการจัดการพิมพ์หนังสือที่แปลทั้ง ๒๘ เรื่องดังกล่าว
จำเลยที่ ๑ ได้รับอนุญาตจากผู้แปลดังกล่าวทุกคนให้จัดพิมพ์หนังสือที่แปลเป็นภาษาไทยทั้ง ๒๘ เรื่อง และนำออกจำหน่ายได้โดยไม่จำกัดจำนวนในช่วงปี ๒๕๓๓ ถึงปี ๒๕๓๘ ตามหนังสือสัญญาอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ เอกสารหมาย ล.๒ ถึง ล.๑๗
การพิมพ์ครั้งสุดท้ายสำหรับหนังสือที่แปลในช่วงปี ๒๕๒๒ ถึงปี ๒๕๒๕ จำนวน ๑๕ เรื่อง เป็นการพิมพ์ในปีต่าง ๆ ตามลำดับดังนี้
ในปี ๒๕๓๔ จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่
- เรื่อง ฆ่าเพราะรัก
- เรื่อง คดีเงียบ
- เรื่อง แผนสังหาร
- เรื่อง โจรกรรมวิตถาร
- และเรื่อง เล่ห์สังหาร
ในปี ๒๕๓๕ จำนวน ๑ เรื่อง คือ เรื่อง สนามกอล์ฟมรณะ
ในปี ๒๕๓๗ จำนวน ๑ เรื่อง คือ เรื่อง สาวชาวแฟลต
ในปี ๒๕๓๘ จำนวน ๖ เรื่อง คือ
- เรื่อง คดีฆาตกรรมโรเจอร์ แอกครอยด์
- เรื่อง ฆาตกรรมย้อนรอยเรื่อง เพชรมรณะเรื่อง นัดมรณเรื่อง คืนหฤโหด
- และเรื่อง ความลี้ลับเหนือเคหาสน์สไตลส์
และในปี ๒๕๓๙ จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่
- เรื่อง ยาพิษในแก้วผลึก
- และเรื่อง ศัตรูลับ
ต่อมา ตามวันเวลาที่โจทก์ฟ้อง คือ ระหว่างเดือนกันยายน ๒๕๓๙ ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๓๙ จำเลยที่ ๑ ขายและเสนอขายแก่บุคคลทั่วไปซึ่งหนังสือแปลเป็นภาษาไทยทั้ง ๒๘ เรื่องดังกล่าวที่มีการจัดพิมพ์แล้วและยังเหลืออยู่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้หนังสือที่แปลดังกล่าวเป็นของกลาง รวม ๔,๗๒๗ เล่ม
ประเด็นวินิจฉัย คดีลิขสิทธิ์ อกาธา คริสตี้
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ ขายและเสนอขายแก่บุคคลทั่วไปซึ่งหนังสือที่มีการจัดพิมพ์จากหนังสือที่มีการแปลเป็นภาษาไทยในช่วงตั้งแต่วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ ถึงวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๖ โดยแปลจากหนังสือต้นฉบับภาษาอังกฤษซึ่งเป็นงานวรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ จำนวน ๑๓ เรื่อง เมื่อระหว่างเดือนกันยายน ๒๕๓๙ ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๓๙ เป็นความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๑ (๑) ตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่
ข้อพิจารณา
ปรากฏว่าหนังสือภาษาอังกฤษทั้ง ๒๘ เรื่อง ตามฟ้องซึ่งมีหนังสือภาษาอังกฤษ จำนวน ๑๓ เล่ม ดังกล่าวรวมอยู่ด้วย เป็นงานวรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเป็นประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญากรุงเบอร์นว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย งานวรรณกรรมของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ
โจทก์ได้โฆษณางานวรรณกรรม ๑๓ เรื่องดังกล่าวเป็นครั้งแรกในระหว่างปี ๒๔๖๗ ถึงปี ๒๕๐๕ ที่ประเทศสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ยกเว้น เรื่อง Surprise Surprise ที่ไม่ปรากฏปีที่โฆษณาครั้งแรก
กฎหมายไทยให้การคุ้มครองแก่ลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศเป็นครั้งแรก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๔๗๔
แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองแก่ลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ มาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งมาตรา ๒ ว่าด้วยลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ (มาตรา ๒๘ ถึงมาตรา ๓๐) ตั้งแต่วันที่รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม ทำ ณ กรุงเบอร์น เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. ๑๘๘๖ ซึ่งแก้ไข ณ กรุงเบอร์ลิน เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ค.ศ.๑๙๐๘ และสำเร็จบริบูรณ์โดยโปรโตคอลเพิ่มเติม ลงนาม ณ กรุงเบอร์น เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๑๙๑๔
ซึ่งวันที่รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าวปรากฏตามประกาศกระทรวงการต่างประเทศ ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๔๗๔ ว่าเป็นวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๔๗๔ พระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ จึงให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของประเทศที่ซึ่งเป็นภาคีอนุสัญญากรุงเบอร์นว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม ตั้งแต่วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๔๗๔
(( แทรกความเห็นส่วนตัว คดีลิขสิทธิ์ อกาธา คริสตี้ นี้มีแง่มุมที่น่าสนใจในทางกฎหมายที่เกี่ยวเนื่องจากคำฟ้องของโจทย์ และช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องค่อนข้างมาก ด้วยเหตุนี้ จึงขอแยกหัวข้อในแต่ละกรณีออกจากกัน))
ว่าด้วย อายุลิขสิทธิ์ ๓๐ ปี
สำหรับงานวรรณกรรมเรื่อง Poirot Investigates และเรื่อง The Secret of Chimneys ซึ่งโฆษณาครั้งแรกเมื่อปี ๒๔๖๗ และ ปี ๒๔๖๘ ตามลำดับ ก่อนวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๔๗๔ อันเป็นวันที่พระราชบัญญัตินี้ให้ความคุ้มครองแก่งานวรรณกรรมดังกล่าว นั้น
มาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ บัญญัติให้ใช้พระราชบัญญัติบังคับถึงงานวรรณกรรมและศิลปกรรมซึ่งมีอยู่แล้วในวันใช้พระราชบัญญัตินี้ และยังมิได้ตกเป็นสาธารณสมบัติเพราะเหตุที่ล่วงพ้นอายุแห่งความคุ้มครองตามพระราชบัญญัตินี้
ซึ่งมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้ลิขสิทธิ์มีอายุตลอดชีวิตผู้ประพันธ์และต่อไปอีก ๓๐ ปี ส่วนที่ออกโฆษณาเป็นตอน ๆ อายุแห่งคุ้มครองเริ่มตั้งแต่วันโฆษณาตอนนั้น ๆ ถ้าผู้ประพันธ์ตายก่อนโฆษณา ให้อายุลิขสิทธิ์มีกำหนด ๓๐ ปี เริ่มตั้งแต่วันโฆษณา
ปรากฏตามบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงของนายคอรีนน์ เบเวอร์ลี พิตส์ (Mr. Corinne Beverly Pitts) กรรมการบริษัทโจทก์ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒ ว่า บริษัทโจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานประพันธ์ ทั้ง ๒๘ เรื่อง ในคดีนี้ของอกาธา คริสตี้ ซึ่งเขียนภายใต้ชื่อ อกาธา คริสตี้ (Agatha Christie) อกาธา คริสตี้ มอลโลแวน (Agatha Christie Mallowan)
และบริษัทอกาธา คริสตี้ จำกัด (Agatha Christie Ltd.) เป็นกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล จึงไม่อาจให้ลิขสิทธิ์มีอายุตลอดชีวิตของบริษัทโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลได้อยู่ในตัว กรณีจึงต้องถือว่างานวรรณกรรม ๒๘ เรื่อง ของบริษัทโจทก์ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศมีอายุแห่งการคุ้มครอง ๓๐ ปี นับแต่โจทก์ได้โฆษณางานนั้นครั้งแรก
เมื่องานวรรณกรรมภาษาอังกฤษของโจทก์ทั้ง ๒๘ เรื่อง ได้มีการโฆษณาครั้งแรกในประเทศสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือระหว่างปี ๒๔๖๗ ถึงปี ๒๕๑๙ ทั้งก่อนและหลังพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ มีผลใช้บังคับกับงานวรรณกรรมดังกล่าว
งานวรรณกรรมทั้ง ๒๘ เรื่อง นั้นย่อมเป็นลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศที่มีอายุแห่งการคุ้มครอง ๓๐ ปี นับแต่ที่ได้มีการโฆษณาครั้งแรก และได้รับความคุ้มครอง มาตรา ๑๔ และมาตรา ๒๘ ถึงมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
ดังนี้ งานวรรณกรรมภาษาอังกฤษ เรื่อง Poirot Investigates และเรื่อง The Secret of Chimneys ยังคงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นเวลา ๓๐ ปี นับแต่ปี ๒๔๖๗ และปี ๒๔๖๘ ซึ่งเป็นปีที่โฆษณาครั้งแรก งานวรรณกรรม ๒ เรื่องนี้จึงได้รับความคุ้มครองถึงสิ้นปี ๒๔๙๗ และสิ้นปี ๒๔๙๘ ตามลำดับ เท่านั้น
นอกจากนี้ปรากฏว่า งานวรรณกรรมภาษาอังกฤษของโจทก์เรื่อง Three Act Tragedy เรื่อง Death Comes as the End เรื่อง They Came to Bagdad และเรื่อง They Do It with Mirrors ได้มีการโฆษณาครั้งแรกภายหลังจากวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๔๗๔ อันเป็นวันที่พระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ มีผลใช้บังคับกับงานอันเป็นลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศดังกล่าว
งานวรรณกรรม ๔ เรื่องนี้ ย่อมได้รับความคุ้มครองเป็นเวลา ๓๐ ปี นับแต่ปีที่มีการโฆษณาครั้งแรก ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนี้ งานวรรณกรรมทั้ง ๔ เรื่องนี้จึงได้รับความคุ้มตามพระราชบัญญัติดังกล่าวถึงสิ้นปี ๒๕๐๗ สิ้นปี ๒๕๑๘ สิ้นปี ๒๕๒๔ และสิ้นปี ๒๕๒๕ เท่านั้น
เมื่อปรากฏว่าได้มีการแปลงานวรรณกรรมภาษาอังกฤษทั้ง ๖ เรื่องดังกล่าวเป็นภาษาไทยในช่วงตั้งแต่วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ ถึงวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๖ จึงเป็นการแปลอันเป็นการดัดแปลงงานวรรณกรรมภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยภายหลังจากที่งานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษของโจทก์ที่ ๖ เรื่อง นั้นสิ้นอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรือภายหลังจากที่งานนั้นได้ตกเป็นสาธารณสมบัติแล้ว
การแปลดังกล่าวย่อมไม่เป็นการดัดแปลงโดยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ๖ เรื่องดังกล่าวของโจทก์ เพราะเป็นการนำเอางานที่สิ้นอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรืองานอันไม่มีลิขสิทธิ์มาดัดแปลง โจทก์ไม่มีสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะห้ามกันผู้อื่นไม่ให้ดัดแปลงงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษของตนต่อไปแล้ว
การแปลดังกล่าวเป็นการแปลโดยชอบ จึงไม่ต้องได้รับอนุญาตจากโจทก์ เมื่อการแปลเป็นภาษาไทยนั้นเป็นการแปลที่สามารถทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ย่อมถือได้ว่าผู้แปลเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์งานแปลเป็นภาษาไทยนั้นด้วยตนเอง ซึ่งผู้แปลต้องใช้ความรู้ภาษาอังกฤษและภาษาไทย ประกอบด้วยความวิริยะอุตสาหะ ตลอดจนประสบการณ์ในการแปล
ผู้แปลซึ่งปรากฏว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทยจึงได้ลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมที่แปลเป็นภาษาไทย ๖ เรื่องดังกล่าวโดยได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายทันที่ที่สร้างสรรค์งานเสร็จ มีอายุแห่งการคุ้มครองตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ และมีอยู่ต่อไปอีกเป็นเวลา ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์งานแปลถึงแก่ความตาย และผู้แปลย่อมมีสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะทำซ้ำหรือดัดแปลงหรือนำออกโฆษณาหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น และอนุญาตให้ผู้อื่นทำซ้ำหรือดัดแปลงหรือนำออกโฆษณาหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งงานแปลนั้น ตามมาตรา ๔ มาตรา ๖ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการแปลวรรณกรรมภาษาอังกฤษทั้ง ๖ เรื่อง ดังกล่าวเป็นภาษาไทย
เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้รับอนุญาตจากผู้แปลวรรณกรรมทั้ง ๖ เรื่องนั้น ให้ทำซ้ำ โดยจัดพิมพ์หนังสือที่แปลเป็นภาษาไทย ๖ เรื่องนั้น และนำหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นนั้นออกจำหน่ายได้ การที่จำเลยที่ ๑ ขาย และเสนอขายหนังสือที่แปลเป็นภาษาไทย ๖ เรื่องนี้ ซึ่งมีการจัดพิมพ์ขึ้นดังกล่าวเมื่อระหว่างเดือนกันยายน ๒๕๓๙ ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๓๙ จึงมิใช่การขายและเสนอขายงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์
การกระทำของจำเลยที่ ๑ ในส่วนนี้ย่อมไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๑ (๑) ตามที่โจทก์ฟ้อง
(สำหรับเรื่องการคุ้มครอง 30 ปีใน คดีลิขสิทธิ์ อกาธา คริสตี้ นี้ ไม่สู้จะเป็นเรื่องใหญ่นัก แต่น่าสนใจตรงที่ ในฐานะนิติบุคคล มีอายุ 30 ปีนับจากโฆษณาครั้งแรก แต่ถ้าเป็นลิขสิทธิ์ตัวบุคคล จะตลอดอายุผู้สร้างสรรค์และมีอยู่ต่อไปอีก 30 ปีหลังผู้สร้างสรรค์เสียชีวิต และการแปลก็เป็นวรรณกรรมแขนงหนึ่งเช่นกัน)
ข้อสงวน ๑๐ ปีที่ใช้ต่อสู้ใน คดีลิขสิทธิ์ อกาธา คริสตี้
ส่วนงานวรรณกรรมภาษาอังกฤษของโจทก์ จำนวนอีก ๗ เรื่อง ได้แก่
- เรื่อง Dead Man’s Folly
- เรื่อง Ordeal by Innocence
- เรื่อง Cat Among The Pigeons
- เรื่อง The Pale Horse
- เรื่อง The mirrors Crack’D From
- เรื่อง The Caribbean Mystery
- และเรื่อง Surprise Surprise
ซึ่งได้มีการโฆษณาครั้งแรกเมื่อปี ๒๔๙๙ ปี ๒๕๐๑ ปี ๒๕๐๒ ปี ๒๕๐๔ ปี ๒๕๐๕ ปี ๒๕๐๗ และไม่ปรากฏปีโฆษณาครั้งแรก ตามลำดับ นั้น แม้จะฟังข้อเท็จจริงเป็นคุณแก่โจทก์ว่าสำหรับงานวรรณกรรมเรื่อง Surprise Surprise โจทก์ได้โฆษณาครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๐๗ เช่นเดียวกับเรื่อง The Caribbean Mystery ก็ตาม
ก็ปรากฏว่าการโฆษณางาน ๗ เรื่องนี้เป็นการโฆษณาครั้งแรกภายหลังวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๔๗๔ อันเป็นวันที่พระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ มีผลใช้บังคับกับงานอันเป็นลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศดังกล่าว
งานวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ๗ เรื่องดังกล่าว ย่อมได้รับความคุ้มครองเป็นเวลา ๓๐ ปี นับแต่ปีที่มีการโฆษณาครั้งแรก ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จนถึงสิ้นปี ๒๕๒๙ สิ้นปี ๒๕๓๑ สิ้นปี ๒๕๓๒ และสิ้นปี ๒๕๓๔ สิ้นปี ๒๕๓๕ สิ้นปี ๒๕๓๗ และสิ้นปี ๒๕๓๗ ตามลำดับ
ดังนี้ ขณะที่มีการแปลงานวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ๗ เรื่อง ดังกล่าวแต่ละเรื่องเป็นภาษาไทย เมื่อระหว่างวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ ถึงสิ้นปี ๒๕๒๙ ระหว่างวันที่ดังกล่าวถึงสิ้นปี ๒๕๓๑ ระหว่างวันที่ดังกล่าวถึงสิ้นปี ๒๕๓๒ ระหว่างวันที่ดังกล่าวถึงสิ้นปี ๒๕๓๔ ระหว่างวันที่ดังกล่าวถึงสิ้นปี ๒๕๓๕ และระหว่างวันที่ดังกล่าวถึงวัน ๒๗ กันยายน ๒๕๓๖ ตามลำดับ จึงเป็นการแปลในช่วงเวลาที่งานวรรณกรรมอังกฤษ ๗ เรื่อง นั้น ยังได้รับความคุ้มครองอยู่ตามบทเฉพาะกาล ในมาตรา ๕๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑
อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่เกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองแก่ลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ โจทก์และจำเลยที่ ๑ รับข้อเท็จจริงกันว่า ขณะที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีในสหภาพเบอร์น (Bern Union) และอนุสัญญากรุงเบอร์นว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม (Bern Convention for the Protecttion of Literary and Artistic Works) เมื่อปี ๒๔๗๔ นั้น รัฐบาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เห็นว่าประเทศไทยมีข้อจำกัดและความจำเป็นบางประการที่ยังไม่สมควรรับความผูกพันตามบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเบอร์นฉบับแก้ไข ณ กรุงเบอร์ลิน ค.ศ. ๑๙๐๘ (Berlin Act ๑๙๐๘) อย่างเต็มที่
รัฐบาลไทยจึงแจ้งความประสงค์ไปยังองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization) ผู้บริการงานของสหภาพเบอร์น เพื่อขอใช้สิทธิวางข้อสงวน (reservations) รวม ๖ ข้อ ที่จะไม่ผูกพันตามอนุสัญญากรุงเบอร์น ฉบับแก้ไข ณ กรุงเบอร์ลิน ค.ศ. ๑๙๐๘ โดยขอผูกพันตามอนุสัญญากรุงเบอร์นฉบับแรก ค.ศ. ๑๘๘๖ และพิธีการสุดท้ายของอนุสัญญากรุงเบอร์น (Bern Convention ๑๘๘๖) และอนุสัญญากรุงเบอร์นฉบับแก้ไข ณ กรุงปารีส ค.ศ. ๑๘๙๖ (Paris Additional Act and Interpretative Declaration ๑๘๙๖) แทน
ซึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการแปลงานวรรณกรรม ประเทศไทยตั้งข้อสงวนขอไม่ผูกพัน ตามมาตรา ๘ (Article ๘) แห่งอนุสัญญากรุงเบอร์น ฉบับแก้ไข ณ กรุงเบอร์สิน ค.ศ. ๑๙๐๘ ซึ่งบัญญัติให้ประเทศภาคีต้องให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์จากประเทศภาคีอื่น รวมไปถึงสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์ที่จะแปล หรืออนุญาตให้ผู้อื่นแปลงานของตนได้เพียงผู้เดียวด้วย แต่ขอผูกพันตามมาตรา ๕ แห่งอนุสัญญากรุงเบอร์น ค.ศ. ๑๘๘๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยมาตรา ๑ ข้อ ๓ (Article I Number III) ของอนุสัญญากรุงเบอร์นฉบับแก้ไข ณ กรุงปารีส ค.ศ. ๑๘๙๖ ซึ่งกำหนดว่า
“ผู้สร้างสรรค์งานซึ่งเป็นคนชาติ หรือคนในบังคับของประเทศภาคี หรือตัวแทนโดยชอบของตนย่อมมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะทำการแปลหรือมอบหมายให้มีการแปลงานอันมีลิขสิทธิ์ของตนตลอดระยะเวลาแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในงานเดิม
แต่ถ้าผู้สร้างสรรค์งานมิได้ทำการโฆษณาการแปลผลงานของตนเป็นภาษาที่ต้องการให้ได้รับความคุ้มครองในประเทศภาคีใดภายในระยะเวลา ๑๐ ปี นับแต่การโฆษณางานเดิมเป็นครั้งแรก สิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะแปลงานของตนเป็นภาษาดังกล่าวย่อมเป็นอันหมดสิ้นไป”
พระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ ได้นำข้อสงวนดังกล่าวมาบัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙ ว่า
“การรับประโยชน์แห่งสิทธิตามหมวดนี้ (หมวด ๒ ลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ) ท่านว่าต้องอยู่ในบังคับแห่งวิธีการและเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(ก) เมื่อได้ปฏิบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขและวิธีการซึ่งกฎหมายของประเทศที่เกิดแห่งวรรณกรรมหรือศิลปกรรมนั้นได้กำหนดไว้
(ข) ถ้าเป็นวรรณกรรมหรือนาฏกียกรรม เมื่อล่วงพ้นกำหนดสิบปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งโฆษณาไปแล้ว สิทธิที่จะห้ามมิให้ทำขึ้น ทำซ้ำ เล่นแสดงในที่สาธารณะ หรือโฆษณาซึ่งคำแปลจะทรงไว้ได้ต่อเมื่อเจ้าของลิขสิทธิ์ได้โฆษณาคำแปลนั้นแล้วภายในพระราชอาณาจักรก่อนล่วงพ้นกำหนดเวลาที่กล่าวข้างต้น”
ซึ่งต่อมาเมื่อมีพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ ออกมายกเลิกพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พ.ศ. ๒๔๗๔ การให้ความคุ้มครองแก่ลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ มาตรา ๔๒ บัญญัติว่า
“งานอันมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมายของประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย และกฎหมายของประเทศนั้นได้ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของภาคี่อื่น ๆ แห่งอนุสัญญาดังกล่าว หรืองานอันมีลิขสิทธิ์ขององค์การระหว่างประเทศซึ่งประเทศไทยร่วมเป็นสมาชิกอยู่ด้วย ย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา”
ซึ่งข้อสงวนเกี่ยวกับการแปลงานวรรณกรรมก็ได้นำมาบัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนไขเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๖ ซึ่งออกตามความในมาตรา ๔๒ ดังกล่าว และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ มาตรา ๕ วรรคสองว่า
“ในกรณีที่เป็นวรรณกรรมหรือนาฏกรรม ถ้าเจ้าของลิขสิทธิ์มิได้จัดให้มีหรืออนุญาตให้ผู้ใดจัดทำคำแปลเป็นภาษาไทยและโฆษณาคำแปลนั้นในราชอาณาจักรภายในสิบปีนับแต่วันสิ้นปีปฏิทินของปีที่ได้มีการโฆษณาวรรณกรรมหรือนาฏกรรมดังกล่าวเป็นครั้งแรก ให้ถือว่าสิทธิที่จะห้ามมิให้ทำซ้ำหรือดัดแปลงหรือโฆษณาซึ่งคำแปลในราชอาณาจักรเป็นอันสิ้นสุด”
ปรากฏข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยที่ ๑ รับกันว่า งานวรรณกรรมภาษาอังกฤษทั้ง ๒๘ เรื่อง ตามฟ้อง โจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์มิได้จัดให้มีหรืออนุญาตให้ผู้ใดจัดทำคำแปลเป็นภาษาไทยและโฆษณาคำแปลนั้นในประเทศไทยภายใน ๑๐ ปี นับแต่วันสิ้นปีปฏิทินของปีที่ได้มีการโฆษณางานวรรณกรรมดังกล่าวเป็นครั้งแรก
ดังนี้ สิทธิแต่เพียงผู้เดียวของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่จะห้ามผู้อื่นมิให้แปลงานวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ๗ เรื่องดังกล่าวข้างต้นเป็นภาษาไทย หรือโฆษณาคำแปลเป็นภาษาไทยในประเทศไทยจึงเป็นอันสิ้นสุดลงตั้งแต่เมื่อพ้นกำหนด ๑๐ ปี ดังกล่าว กล่าวคือ เมื่อพ้นปี ๒๕๐๙ พ้นปี ๒๕๑๑ พ้นปี ๒๕๑๒ พ้นปี ๒๕๑๔ พ้นปี ๒๕๑๕ พ้นปี ๒๕๑๗ และพ้นปี ๒๕๑๗ ตามลำดับ
การแปลงานวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ๗ เรื่องนี้เป็นภาษาไทยในช่วงระหว่างวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ ถึงวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๖ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับอยู่ย่อมทำได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์และไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการแปลของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
เมื่อการแปลดังกล่าวเป็นการแปลโดยชอบด้วยกฎหมายและผู้แปลได้ริเริ่มสร้างสรรค์งานแปลเป็นภาษาไทยด้วยตนเองโดยต้องใช้ความรู้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ประกอบด้วยความวิริยะอุตสาหะ ตลอดจนประสบการณ์ในการแปล
ผู้แปลซึ่งปรากฏว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทยจึงได้ลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมที่แปลเป็นภาษาไทย ๗ เรื่องดังกล่าว โดยได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายทันทีที่สร้างสรรค์งานเสร็จ และมีอายุแห่งการคุ้มครองตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ และมีอยู่ต่อไปอีกเป็นเวลา ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย และผู้แปลย่อมมีสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะทำซ้ำหรือดัดแปลงหรือนำออกโฆษณาหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น และอนุญาตให้ผู้อื่นทำซ้ำหรือดัดแปลงหรือนำออกโฆษณาหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งงานแปลนั้น ตามมาตรา ๔ มาตรา ๖ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการแปลวรรณกรรมภาษาอังกฤษทั้ง ๗ เรื่อง ดังกล่าวเป็นภาษาไทย
เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้รับอนุญาตจากผู้แปลวรรณกรรมทั้ง ๗ เรื่องนั้น ให้ทำซ้ำ โดยจัดพิมพ์หนังสือที่แปลเป็นภาษาไทย ๗ เรื่องนี้ และนำหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นนั้นออกจำหน่ายได้โดยไม่จำกัดจำนวนในช่วงปี ๒๕๓๓ ถึงปี ๒๕๓๘ การที่จำเลยที่ ๑ ขาย และเสนอขายหนังสือที่แปลเป็นภาษาไทย ๗ เรื่องนี้ ซึ่งมีการจัดพิมพ์ขึ้นดังกล่าวและยังเหลืออยู่เมื่อระหว่างเดือนกันยายน ๒๕๓๙ ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๓๙ จึงมิใช่การขายและเสนอขายงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์
การกระทำของจำเลยที่ ๑ ในส่วนนี้ย่อมไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๑ (๑) เช่นกัน
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การทำซ้ำซึ่งงานแปลที่เกิดขึ้นหลังวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๖ ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนไขเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๖ ถูกยกเลิกไปแล้วโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษย่อมทำไม่ได้ แม้ว่าเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานแปลเป็นภาษาไทยจะอนุญาตก็ตาม โดยอ้างว่า งานแปลเป็นภาษาไทยมีงานสร้างสรรค์อันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษรวมอยู่ด้วย การแปลเป็นภาษาไทยผู้แปลต้องอาศัยงานของโจทก์เป็นฐานโดยที่ผู้แปลไม่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้นด้วยตนเอง
ลิขสิทธิ์ของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานต้นฉบับเดิมย่อมไม่ถูกกระทบกระเทือน การทำซ้ำซึ่งงานแปลเป็นภาษาไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษจึงเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์
เมื่อจำเลยที่ ๑ นำงานที่ได้มีการจัดพิมพ์ทำซ้ำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ออกขายและเสนอขายแก่บุคคลทั่วไป ย่อมเป็นความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๑ (๑) นั้น
เห็นว่า การแปลงานวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ๗ เรื่องดังกล่าว เป็นการแปลในช่วงเวลาที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนไขเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๖ มีผลใช้บังคับอยู่
และสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการแปลงานวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ๗ เรื่องดังกล่าวเป็นภาษาไทยในประเทศไทยได้ระงับสิ้นไปแล้วเพราะโจทก์มิได้จัดให้มีหรืออนุญาตให้ผู้ใดจัดทำคำแปลเป็นภาษาไทยและโฆษณาคำแปลนั้นในประเทศไทยภายใน ๑๐ ปี นับแต่วันสิ้นปีปฏิทินของปีที่ได้มีการโฆษณาวรรณกรรม ๗ เรื่องนี้เป็นครั้งแรก
ตามมาตรา ๕ วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว การแปลงานวรรณกรรมภาษาอังกฤษทั้ง ๗ เรื่อง เป็นภาษาไทยย่อมทำได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากโจทก์และเป็นการแปลโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์
ผู้แปลซึ่งปรากฏว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทยเป็นผู้สร้างสรรค์งานแปลนั้น จึงมีลิขสิทธิ์ในงานแปลดังได้วินิจฉัยข้างต้น และผู้แปลวรรณกรรมภาษาไทยทั้ง ๗ เรื่อง ย่อมมีสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะทำซ้ำหรือดัดแปลง นำออกโฆษณาหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น
และอนุญาตให้ผู้อื่นทำซ้ำหรือดัดแปลงหรือนำออกโฆษณาหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยหรือไม่ก็ได้ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ มาตรา ๔ มาตรา ๖ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการแปลวรรณกรรมดังกล่าว
การที่ผู้แปลวรรณกรรมเป็นภาษาไทยทั้ง ๗ เรื่อง ทุกคนได้ทำสัญญาอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ จัดพิมพ์หนังสือที่แปลเป็นภาษาไทย ๗ เรื่องนั้น และนำออกจำหน่ายได้โดยไม่จำกัดจำนวนในช่วงปี ๒๕๓๓ ถึงปี ๒๕๓๘ เป็นสัญญาอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ ทำซ้ำและนำออกโฆษณาซึ่งงานแปลที่ผู้แปลได้ดัดแปลงขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยที่ ๑ จึงมีสิทธิตามสัญญานั้นที่จะทำซ้ำ และนำออกโฆษณาซึ่งงานแปลดังกล่าวได้ การทำซ้ำและนำออกโฆษณาดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ เป็นการกระทำต่องานสร้างสรรค์วรรณกรรมที่แสดงออกในรูปแบบที่เป็นภาษาไทยโดยตรง มิได้กระทำต่องานสร้างสรรค์วรรณกรรมต้นฉบับที่แสดงออกในรูปแบบที่เป็นภาษาอังกฤษของโจทก์แต่อย่างใด สิทธิแต่เพียงผู้เดียวในงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษของโจทก์ ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ มีอยู่อย่างไร ก็ยังคงมีอยู่เช่นนั้น สิทธิแต่เพียงผู้เดียวดังกล่าวของโจทก์หาได้ถูกกระทบกระเทือนไม่
กล่าวคือ หากจำเลยที่ ๑ จะทำซ้ำและนำออกโฆษณาซึ่งงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษของโจทก์ ในขณะที่งานวรรณกรรมของโจทก์ยังมีอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามกฎหมายอยู่ จำเลยที่ ๑ ก็ยังคงต้องขออนุญาตจากโจทก์ มิฉะนั้นจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์
เมื่อจำเลยที่ ๑ เจตนาจะทำซ้ำ และนำออกโฆษณา หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนเฉพาะงานวรรณกรรมที่แสดงออกในรูปแบบที่เป็นภาษาไทย มิได้เจตนาที่จะทำซ้ำหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษของโจทก์ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องขออนุญาตจากโจทก์
หากจำเลยที่ ๑ ต้องขออนุญาตในการทำซ้ำ และนำออกโฆษณา หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งงานแปลเป็นภาษาไทย ผลก็จะกลายเป็นว่าโจทก์มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษของโจทก์เกินกว่าขอบเขตแห่งสิทธิที่กฎหมายให้ความคุ้มครองตามมาตรา ๑๓ ดังกล่าว
กล่าวคือ มีผลเท่ากับเป็นการขยายขอบเขตแห่งสิทธิให้โจทก์มีสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะอนุญาตให้ผู้อื่นทำซ้ำ และนำออกโฆษณา หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งงานแปลวรรณกรรมเป็นภาษาไทย ทั้ง ๆ ที่โจทก์ไม่ได้เป็นผู้สร้างสรรค์งานแปลนั้น และสิทธิแต่ผู้เดียวของโจทก์ที่จะแปลงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยของตนในประเทศไทย และสิทธิที่จะอนุญาตให้ผู้อื่นแปลงานวรรณกรรมนั้นเป็นภาษาไทยในประเทศไทยได้ระงับสิ้นไปแล้ว เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ ในงานวรรณกรรมที่แปลเป็นภาษาไทยในกรณีเช่นนี้
การทำซ้ำ และนำออกโฆษณา หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งงานวรรณกรรมเป็นภาษาไทยของจำเลยที่ ๑ โดยได้รับอนุญาตจากผู้แปลซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานแปลนั้นจึงเป็นการพอเพียงแล้ว ไม่จำต้องได้รับอนุญาตจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษอีก
การที่จำเลยที่ ๑ ทำซ้ำงานแปลเป็นภาษาไทยดังกล่าวย่อมไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ และเมื่อจำเลยที่ ๑ นำงานแปลที่ทำซ้ำขึ้นโดยชอบนั้นออกขาย และเสนอขายแก่บุคคลทั่วไป จึงไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๑ (๑) ตามที่โจทก์ฟ้อง
ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนนี้มานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
คุ้มครอง ๓๐ ปี
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ว่า ที่จำเลยที่ ๑ ขายและเสนอขายแก่บุคคลทั่วไปซึ่งหนังสือที่มีการแปลเป็นภาษาไทยในช่วงปี ๒๕๒๒ ถึงปี ๒๕๒๕ ซึ่งเป็นช่วงที่พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ มีผลใช้บังคับแล้ว แต่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนไขเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๖ ออกมาใช้บังคับ โดยแปลจากหนังสือต้นฉบับภาษาอังกฤษซึ่งเป็นงานวรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์จำนวนอีก ๑๕ เรื่อง เมื่อระหว่างเดือนกันยายน ๒๕๓๙ ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๓๙ เป็นความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๑ (๑) ตามที่โจทก์ฟ้อง หรือไม่
ปัญหานี้ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๖๙ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๗ นั้น เป็นการปรับบทมาตราที่ลงโทษผิด ซึ่งที่ถูกต้องเป็นความผิดตามมาตรา ๗๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๑ (๑)
งานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษ ๑๕ เรื่องนี้ของโจทก์เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของประเทศสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ที่เป็นภาคีอนุสัญญากรุงเบอร์นว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม อันเป็นอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย และได้การโฆษณาเป็นครั้งแรกในประเทศดังกล่าวระหว่างปี ๒๔๖๓ ถึงปี ๒๕๑๙ ซึ่งเป็นการโฆษณาครั้งแรกก่อนและหลังที่พระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ มีผลใช้บังคับกับงานวรรณกรรมดังกล่าว
งานวรรณกรรมนั้นจึงเป็นลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ ที่มีอายุการคุ้มครอง ๓๐ ปี นับแต่ได้มีการโฆษณาครั้งแรก และได้รับความคุ้มครอง ตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๒๘ ถึงมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังได้วินิจฉัยข้างต้นเช่นกัน
ปรากฏว่ามีงานวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ๑๑ เรื่อง ในจำนวน ๑๕ เรื่องดังกล่าว ซึ่งได้แก่
- เรื่อง The Mysterious Affair at Styles
- เรื่อง The Secret of Chimneys
- เรื่อง The Murder on the Links
- เรื่อง The Man in the Brown Suit
- เรื่อง The Murder of Roger Ackroyd
- เรื่อง The Seven Dials Mystery
- เรื่อง Why Didn’t They Ask Evans?
- เรื่อง Appointment with Depth
- เรื่อง Toward Zero
- เรื่อง Sparkling Cyanide
- และเรื่อง Hickory Dickory Dock
โจทก์ได้ทำการโฆษณาเป็นครั้งแรกเมื่อปี ๒๔๖๓ ปี ๒๔๖๕ ปี ๒๔๖๖ ปี ๒๔๖๗ ปี ๒๔๖๙ ปี ๒๔๗๒ ปี ๒๔๗๗ ปี ๒๔๘๑ ปี ๒๔๘๘ และไม่ปรากฏปีที่โฆษณาครั้งแรกตามลำดับ
ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงเป็นคุณแก่โจทก์ว่างานวรรณกรรมเรื่อง Hickory Dickory Dock โจทก์ได้โฆษณาครั้งแรกเมื่อปี ๒๔๘๘ เช่นเดียวกับวรรณกรรมเรื่อง Sparkling Cyanide ก็ตาม งานวรรณกรรมภาษาอังกฤษของโจทก์ทั้ง ๑๑ เรื่อง ก็ได้รับความคุ้มครองเพียง ๓๐ ปี นับแต่ที่ได้มีการโฆษณาครั้งแรก โดยได้รับความคุ้มครองถึงสิ้นปี ๒๔๙๓ สิ้นปี ๒๔๙๙ สิ้นปี ๒๔๙๗ สิ้นปี ๒๔๙๙ สิ้นปี ๒๕๐๒ สิ้นปี ๒๕๐๗ สิ้นปี ๒๕๑๑ สิ้นปี ๒๕๑๗ สิ้นปี ๒๕๑๘ และสิ้นปี ๒๕๑๘ ตามลำดับ เท่านั้น
เมื่อปรากฏว่าได้มีการแปลวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษของโจทก์ ๑๑ เรื่องนี้เป็นภาษาไทยในช่วงปี ๒๕๒๒ ถึงปี ๒๕๒๕ จึงเป็นการแปลอันเป็นการดัดแปลงงานวรรณกรรมภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยภายหลังจากที่งานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษของโจทก์ ทั้ง ๑๑ เรื่องนี้สิ้นอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ หรือภายหลังจากที่งานนั้นได้ตกเป็นสาธารณสมบัติแล้ว
การแปลดังกล่าวย่อมไม่เป็นการดัดแปลงโดยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ๑๑ เรื่องดังกล่าวของโจทก์ เพราะเป็นการนำเอางานที่สิ้นอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ หรืองานอันไม่มีลิขสิทธิ์มาดัดแปลง
โจทก์ไม่มีสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะห้ามกันผู้อื่นไม่ให้ดัดแปลงงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษของตนต่อไปแล้ว การแปลดังกล่าวเป็นการดัดแปลงโดยชอบ จึงไม่ต้องได้รับอนุญาตจากโจทก์
เมื่อการแปลเป็นภาษาไทยนั้นเป็นการแปลที่สามารถทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ย่อมถือได้ว่าผู้แปลเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์งานแปลเป็นภาษาไทยนั้นด้วยตนเอง ซึ่งผู้แปลต้องใช้ความรู้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ประกอบด้วยความวิริยะอุตสาหะ ตลอดจนประสบการณ์ในการแปล
ผู้แปลซึ่งปรากฏว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทยจึงได้ลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมที่แปลเป็นภาษาไทย ๑๑ เรื่องดังกล่าว โดยได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายทันทีที่สร้างสรรค์งานเสร็จ และมีอายุแห่งการคุ้มครองตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ และมีอยู่ต่อไปอีกเป็นเวลา ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
และผู้แปลย่อมมีสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะทำซ้ำหรือดัดแปลงหรือนำออกโฆษณาหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น และอนุญาตให้ผู้อื่นทำซ้ำหรือดัดแปลงหรือนำออกโฆษณาหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งงานแปลนั้น ตามมาตรา ๔ มาตรา ๖ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการแปลวรรณกรรมภาษาอังกฤษทั้ง ๑๑ เรื่อง ดังกล่าวเป็นภาษาไทย
เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้รับอนุญาตจากผู้แปลวรรณกรรมทั้ง ๑๑ เรื่องนี้ ให้ทำซ้ำ โดยจัดพิมพ์หนังสือที่แปลเป็นภาษาไทย ๑๑ เรื่องนี้ และนำหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นนั้นออกจำหน่ายได้
การที่จำเลยที่ ๑ ขาย และเสนอขายหนังสือที่แปลเป็นภาษาไทย ๑๑ เรื่องนี้ ซึ่งมีการจัดพิมพ์ขึ้นดังกล่าวเมื่อระหว่างเดือนกันยายน ๒๕๓๙ ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๓๙ จึงมิใช่การขายและเสนอขายงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์
การกระทำของจำเลยที่ ๑ ในส่วนนี้ย่อมไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๑ (๑) ตามที่โจทก์ฟ้อง
ส่วนงานวรรณกรรมภาษาอังกฤษของโจทก์จำนวนอีก ๔ เรื่อง ได้แก่ เรื่อง Third Girl เรื่อง Endless Night เรื่อง Nemesis และเรื่อง Sleeping Murder ซึ่งได้มีการโฆษณาครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๐๙ ปี ๒๕๑๐ ปี ๒๕๑๔ และปี ๒๕๑๙
ก็ปรากฏว่าการโฆษณางาน ๔ เรื่องนี้ เป็นการโฆษณาครั้งแรกภายหลังวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๔๗๔ อันเป็นวันที่พระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ มีผลใช้บังคับกับงานอันเป็นลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศดังกล่าว
งานวรรณกรรมภาษาอังกฤษทั้ง ๔ เรื่องนี้ย่อมได้รับความคุ้มครองเป็นเวลา ๓๐ ปี นับแต่ปีที่มีการโฆษณาครั้งแรก ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวจนถึงสิ้นปี ๒๕๓๙ สิ้นปี ๒๕๔๐ สิ้นปี ๒๕๔๔ และสิ้นปี ๒๕๔๙ ตามลำดับ
ดังนี้ ขณะที่มีการแปลวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ๔ เรื่องดังกล่าวแต่ละเรื่องเป็นภาษาไทยเมื่อปี ๒๕๒๕ ปี ๒๕๒๕ ปี ๒๕๒๓ และปี ๒๕๒๓ ตามลำดับ จึงเป็นการแปลในช่วงเวลาที่งานวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ๔ เรื่องนั้นยังได้รับความคุ้มครองอยู่ตามบทเฉพาะกาลในมาตรา ๕๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑
อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่เกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองแก่ลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ โจทก์และจำเลยที่ ๑ รับข้อเท็จจริงกันว่า ขณะที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีในสหภาพเบอร์น (Berne Union) และอนุสัญญากรุงเบอร์นว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม (Berne Convention for the Protection Literary and Artistic Works) เมื่อปี ๒๔๗๔ นั้น
รัฐบาลพระบาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเห็นว่าประเทศไทยมีข้อจำกัดและความจำเป็นบางประการที่ยังไม่สมควรรับความผูกพันตามบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเบอร์น ฉบับแก้ไข ณ กรุงเบอร์ลิน ค.ศ. ๑๙๐๘ (Berlin Act 1908) อย่างเต็มที่
รัฐบาลไทยจึงแจ้งความประสงค์ไปยังองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intelltual Property Organization) ซึ่งเป็นผู้บริหารงานแห่งสหภาพเบอร์น เพื่อขอใช้สิทธิวางข้อสงวน (reservations) รวม ๖ ข้อ ที่จะไม่ผูกพันตามอนุสัญญากรุงเบอร์น ฉบับแก้ไข ณ กรุงเบอร์ลิน ค.ศ. ๑๙๐๘
โดยขอผูกพันตามอนสัญญากรุงเบอร์นฉบับแรก ค.ศ.๑๘๘๖ และพิธีสารสุดท้ายของอนุสัญญากรุงเบอร์น ค.ศ. ๑๘๘๖ (Berne Convention ๑๘๘๖) และอนุสัญญากรุงเบอร์น ฉบับแก้ไข ณ กรุงปารีส ค.ศ. ๑๘๙๖ (Paris Additional Act and Interpretative Declaration ๑๘๙๖) แทน
ซึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการแปลงานวรรณกรรม ประเทศไทยตั้งข้อสงวนขอไม่ผูกพันตามมาตรา ๘ (Article 8) แห่งอนุสัญญากรุงเบอร์น ฉบับแก้ไข ณ กรุงเบอร์สิน ค.ศ. ๑๙๐๘ ซึ่งบัญญัติให้ประเทศภาคีต้องให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์จากประเทศภาคีอื่น รวมไปถึงสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์ที่จะแปล หรืออนุญาตให้ผู้อื่นแปลงานของตนได้เพียงผู้เดียวด้วย
แต่ขอผูกพันตามมาตรา ๕ แห่งอนุสัญญากรุงเบอร์น ค.ศ. ๑๘๘๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยมาตรา ๑ ข้อ ๓ (Article I Number III) ของอนุสัญญากรุงเบอร์นฉบับแก้ไข ณ กรุงปารีส ค.ศ. ๑๘๙๖ ซึ่งกำหนดว่า
“ผู้สร้างสรรค์งานซึ่งเป็นคนชาติ หรือคนในบังคับของประเทศภาคี หรือตัวแทนโดยชอบของตนย่อมมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะทำการแปลหรือมอบหมายให้มีการแปลงานอันมีลิขสิทธิ์ของตนตลอดระยะเวลาแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในงานเดิม
แต่ถ้าผู้สร้างสรรค์งานมิได้ทำการโฆษณาการแปลผลงานของตนเป็นภาษาที่ต้องการให้ได้รับความคุ้มครองในประเทศภาคีใดภายในระยะเวลา ๑๐ ปี นับแต่การโฆษณางานเดิมเป็นครั้งแรก สิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะแปลงานของตนเป็นภาษาดังกล่าวย่อมเป็นอันหมดสิ้นไป”
พระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ ได้นำข้อสงวนดังกล่าวบัญญัติไว้ในหมวด ๒ ลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ มาตรา ๒๙ ว่า
“การรับประโยชน์แห่งสิทธิตามหมวดนี้ (หมวด ๒ ลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ) ท่านว่าต้องอยู่ในบังคับแห่งวิธีการและเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(ก) เมื่อได้ปฏิบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขและวิธีการซึ่งกฎหมายของประเทศที่เกิดแห่งวรรณกรรมหรือศิลปกรรมนั้นได้กำหนดไว้
(ข) ถ้าเป็นวรรณกรรมหรือนาฏกียกรรม เมื่อล่วงพ้นกำหนดสิบปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งโฆษณาไปแล้ว สิทธิที่จะห้ามมิให้ทำขึ้น ทำซ้ำ เล่นแสดงในที่สาธารณะ หรือโฆษณาซึ่งคำแปลจะทรงไว้ได้ต่อเมื่อเจ้าของลิขสิทธิ์ได้โฆษณาคำแปลนั้นแล้วภายในพระราชอาณาจักรก่อนล่วงพ้นกำหนดเวลาที่กล่าวข้างต้น”
ซึ่งต่อมาเมื่อมีพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ ๒๕๒๑ ออกมายกเลิกพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ การให้ความคุ้มครองแก่ลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศนั้น พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ มาตรา ๔๒ บัญญัติว่า
“งานอันมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมายของประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย และกฎหมายของประเทศนั้นได้ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของภาคี่อื่น ๆ แห่งอนุสัญญาดังกล่าว หรืองานอันมีลิขสิทธิ์ขององค์การระหว่างประเทศซึ่งประเทศไทยร่วมเป็นสมาชิกอยู่ด้วย ย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา”
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๒๑ งานวรรณกรรมทั้ง ๔ เรื่องนี้ของโจทก์อันเป็นลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศซึ่งได้รับความคุ้มครองอยู่แล้วตามพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔
ในขณะที่พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ มีผลใช้บังคับโดยยังไม่สิ้นอายุความคุ้มครอง ๓๐ ปี นับแต่ที่ได้มีการโฆษณาครั้งแรก จึงยังคงได้รับความคุ้มครองต่อไปจนว่าจะสิ้นอายุการคุ้มครองในสิ้นปี ๒๕๓๙ สิ้นปี ๒๕๔๐ สิ้นปี ๒๕๔๔ และสิ้นปี ๒๕๔๙ ตามลำดับ ตามบทเฉพาะกาล มาตรา ๕๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ และตามบทเฉพาะกาล มาตรา ๗๘ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
อย่างไรก็ตาม การที่งานวรรณกรรมทั้ง ๔ เรื่องนี้ได้รับความคุ้มครองจนกว่าจะสิ้นอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติทั้งสามฉบับดังกล่าว ก็เป็นการได้รับความคุ้มครองภายใต้บังคับของข้อสงวนที่ประเทศไทยทำไว้ทั้ง ๖ ข้อ ในการเข้าเป็นภาคีสหภาพเบอร์น และอนุสัญญากรุงเบอร์นว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม ซึ่งรวมถึงข้อสงวนเกี่ยวกับสิทธิแต่ผู้เดียวในการแปลวรรณกรรมซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศนั้นด้วย เพราะประเทศไทยยังมิได้สละสิทธิในข้อสงวนทั้ง ๖ ข้อนั้น โดยแจ้งการสละสิทธิไปยังองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกในช่วงปี ๒๕๒๓ ถึงปี ๒๕๒๕ ที่มีการแปลวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษของโจทก์ ๔ เรื่องนี้เป็นภาษาไทยแต่อย่างใด
ปรากฏตาม เอกสารหมาย ล.๒๑ ว่า ประเทศไทยได้แจ้งต่อองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกเพื่อขอเปลี่ยนแปลงพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม ภาคสารบัญญัติ (Substantive Clauses)
จากเดิมที่ประเทศไทยผูกพันอยู่ตามอนุสัญญากรุงเบอร์น ฉบับแก้ไข ณ กรุงเบอร์ลิน ค.ศ. ๑๙๐๘ (Berlin Act 1908) ประกอบกับข้อสงวนอีก ๖ ข้อ เป็นพันธกรณีภายใต้มาตรา ๑ ถึงมาตรา ๒๑ (ภาคสารบัญญัติ) ของอนุสัญญากรุงเบอร์น ฉบับแก้ไข ณ กรุงปารีส ค.ศ.๑๙๗๑
และมาตรา ๒ ของภาคผนวกในอนุสัญญากรุงเบอร์น ฉบับแก้ไข ณ กรุงปารีส ค.ศ.๑๙๗๑ ในเรื่องข้อจำกัดในการแปล (Article II (Limitations on the Right of Translation) of the Appendix of the Paris Act 1971)
ซึ่งบทบัญญัติมาตรา ๑ ถึง มาตรา ๒๑ ของอนุสัญญากรุงเบอร์น ฉบับแก้ไข ณ กรุงปารีส ค.ศ.๑๙๗๑ มีผลใช้บังคับกับประเทศไทยตั้งแต่วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๓๘
ส่วนมาตรา ๒ ของภาคผนวกในอนุสัญญาดังกล่าวในเรื่องข้อจำกัดสิทธิในการแปล มีผลใช้บังคับกับประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๓๘ ถึงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๗ เว้นแต่จะมีการแจ้งถอนก่อนกำหนดดังกล่าว
ซึ่งเรื่องข้อจำกัดสิทธิในการแปลนี้ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้นำมาบัญญัติไว้ในหมวด ๓ ว่าด้วยการใช้ลิขสิทธิ์ในพฤติการณ์พิเศษ ในมาตรา ๕๔ และมาตรา ๕๕
ดังนี้ นับแต่วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๓๘ สิทธิแต่ผู้เดียวในการแปลเป็นภาษาไทย และโฆษณา หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งคำแปลเป็นภาษาไทยในประเทศไทยของเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมอันเป็นลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศที่ยังไม่สิ้นอายุแห่งการคุ้มครอง ๓๐ ปี ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ จึงไม่ได้ถูกจำกัดตัดทอนไป
แม้ว่างานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาต่างประเทศนั้นจะไม่ได้แปล หรือจัดทำคำแปลเป็นภาษาไทย และโฆษณาซึ่งคำแปลนั้นในประเทศไทยภายใน ๑๐ ปี นับแต่ที่ได้มีการโฆษณางานต้นฉบับภาษาต่างประเทศนั้นเป็นครั้งแรกก็ตาม
การแปลงานวรรณกรรมอันเป็นลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศซึ่งยังไม่สิ้นอายุแห่งการคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ เป็นภาษาไทยในกรณีดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๓๘ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ มิฉะนั้นจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ หรือมิฉะนั้นก็ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์เรื่องการใช้สิทธิในพฤติกาณ์พิเศษตามมาตรา ๕๔ และมาตรา ๕๕ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
ด้วยพันธกรณีที่ประเทศไทยมีอยู่ในอนุสัญญากรุงเบอร์นว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม และข้อสงวนรวม ๖ ข้อ ที่ประเทศไทยทำไว้โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิแต่ผู้เดียวในการแปลเป็นภาษาไทย และโฆษณา หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน
ซึ่งคำแปลเป็นภาษาไทยในประเทศไทยของเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาต่างประเทศดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า นับแต่วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๔๗๔ ซึ่งเป็นวันที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญากรุงเบอร์นว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรมและตั้งข้อสงวนไว้รวม ๖ ข้อ ถึงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๘ อันเป็นวันก่อนวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๓๘ ซึ่งเป็นวันที่อนุสัญญากรุงเบอร์น ฉบับแก้ไข ณ กรุงปารีส ค.ศ. ๑๙๗๑ มีผลใช้บังคับกับประเทศไทย เนื่องจากที่ประเทศไทยได้แจ้งต่อองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ขอเปลี่ยนแปลงพันธกรณีภายใต้อนุสัญญากรุงเบอร์น ภาคสารบัญญัติ
จากเดิมที่ประเทศไทยผูกพันตามอนุสัญญากรุงเบอร์น ฉบับแก้ไข ณ กรุงเบอร์ลิน ค.ศ. ๑๙๐๘ และข้อสงวนรวม ๖ ข้อ เป็นพันธกรณีภายใต้ภาคสารบัญญัติ มาตรา ๑ ถึงมาตรา ๒๑ ของอนุสัญญากรุงเบอร์น ฉบับแก้ไข ณ กรุงปารีส ค.ศ. ๑๙๗๑
สิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการแปลเป็นภาษาไทย และโฆษณา หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งคำแปลเป็นภาษาไทยในประเทศไทยของเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาต่างประเทศของประเทศภาคในอนุสัญญากรุงเบอร์นจะสิ้นสุดลงก่อนหมดอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ หากเจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ได้จัดให้มีหรืออนุญาตให้ผู้ใดจัดทำคำแปลเป็นภาษาไทยและโฆษณาคำแปลนั้นในประเทศไทยภายใน ๑๐ ปี นับแต่ที่ได้มีการโฆษณางานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาต่างประเทศดังกล่าวเป็นครั้งแรก
สิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการแปลเป็นภาษาไทย และโฆษณา หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งคำแปลเป็นภาษาไทยของเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาต่างประเทศจะกลับมามีอยู่ดังเดิมตลอดอายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ที่เหลืออยู่ตั้งแต่วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๓๘ แม้เจ้าของลิขสิทธิ์จะไม่ได้จัดให้มีหรืออนุญาตให้ผู้ใดทำคำแปลเป็นภาษาไทยและโฆษณาคำแปลนั้นในประเทศไทยภายใน ๑๐ ปี นับแต่ที่ได้มีการโฆษณางานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาต่างประเทศดังกล่าวเป็นครั้งแรกก็ตาม
ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าการแปลงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษของโจทก์ ๒ ใน ๔ เรื่องนี้ ซึ่งได้แก่ เรื่อง Third Girl และเรื่อง Endless Night ได้ทำขึ้นเมื่อปี ๒๕๒๕ โดยโจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์มิได้จัดให้มีหรืออนุญาตให้ผู้ใดทำคำแปลงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษ ๒ เรื่องดังกล่าวเป็นภาษาไทยและโฆษณาคำแปลนั้นภายใน ๑๐ ปี นับแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๙ และวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๑๐ อันเป็นวันสิ้นปีปฏิทินของปีที่ได้มีการโฆษณางานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษ ๒ เรื่องนี้เป็นครั้งแรก
กล่าวคือ โจทก์มิได้จัดให้มีหรืออนุญาตให้ผู้ใดทำคำแปลวรรณกรรม ๒ เรื่องนี้เป็นภาษาไทยและโฆษณาซึ่งคำแปลนั้นภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๑๙ และวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๐ ตามลำดับ
สิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการแปลเป็นภาษาไทย และโฆษณา หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งคำแปลนั้นของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาต่างอังกฤษ ๒ เรื่องดังกล่าวจึงระงับสิ้นไป ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๐ และวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๑
เมื่อมีการแปลงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษ ๒ เรื่องนี้เป็นภาษาไทยเมื่อปี ๒๕๒๕ ซึ่งเป็นภายหลังจากที่สิทธิแต่เพียงผู้เดียวดังกล่าวของโจทก์ระงับสิ้นไปแล้ว การแปลภาษาไทยดังกล่าวจึงเป็นการแปลที่ผู้แปลสามารถทำได้โดยชอบ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษ ๒ เรื่องนั้น และไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการแปลงานโจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า การแปลภายหลังจากที่พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ มีผลใช้บังคับ แต่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนไขเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่าประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๖ ซึ่งออกตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ ออกมาใช้บังคับ
โดยมีมาตรา ๕ วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว บัญญัติให้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะแปลงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาต่างประเทศ ซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมายของประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญากรุงเบอร์นเป็นอันสิ้นสุดลง ถ้าเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมดังกล่าวมิได้จัดให้มี หรืออนุญาตให้ผู้ใดจัดทำคำแปลเป็นภาษาไทย และโฆษณาคำแปลนั้นในประเทศไทยภายใน ๑๐ ปี นับแต่วันสิ้นปีที่ได้มีการโฆษณาวรรณกรรมฉบับนั้นเป็นครั้งแรก
ดังนี้ สิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการแปลเป็นภาษาไทย และโฆษณาคำแปลนั้นในประเทศไทยของโจทก์จึงกลับมามีเช่นเดิม เพราะพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ ถูกยกเลิกไปโดยพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ แล้ว
การแปลงานวรรณกรรมอันเป็นลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศเป็นภาษาไทยในประเทศไทยนับตั้งแต่วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๒๑ อันเป็นวันที่พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ อันเป็นวันก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนไขเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๖ มีผลใช้บังคับ จึงต้องได้รับอนุญาตจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์นั้น
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย เพราะข้อวินิจฉัยดังกล่าวขัดแย้งกับพันธกรณีที่ประเทศไทยได้ทำไว้ในการเข้าเป็นภาคีสหภาพเบอร์นและอนุสัญญากรุงเบอร์นว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม และขัดแย้งกับข้อสงวน ๖ ข้อ ซึ่งรวมทั้งเรื่องสิทธิการแปลดังกล่าวที่ประเทศไทยได้ทำไว้
เมื่อประเทศไทยยังไม่ได้แจ้งสละสิทธิในข้อสงวนดังกล่าวต่อองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก สิทธิในข้อสงวนนั้นของประเทศไทยจึงยังคงมีอยู่ และผูกพันประเทศภาคอื่นในอนุสัญญากรุงเบอร์นทุกประเทศ
การที่พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ ออกมาใช้บังคับ โดยที่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนไขเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ ซึ่งออกตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวออกมาใช้บังคับทันทีที่พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ฑ.ศ. ๒๕๒๑ มีผลใช้บังคับหาทำให้ข้อสงวนดังกล่าวสิ้นผลไปไม่
การที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนไขเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๕ วรรคสอง บัญญัติยืนยันถึงข้อสงวนเกี่ยวกับสิทธิการแปลที่ประเทศไทยทำไว้แสดงให้เห็นว่าสิทธิในข้อสงวนเกี่ยวกับสิทธิการแปลของประเทศไทยยังคงอยู่ มิได้สูญสิ้นไปในช่วง ๔ ปีเศษ ก่อนที่จะมีพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนไขเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๖ ออกมาใช้บังคับ
เมื่อการแปลงานวรรณกรรมเรื่อง Third Girl และเรื่อง Endless Night เป็นภาษาไทยเรื่อง สาวชาวแฟลต และเรื่อง คืนหฤโหด ตามลำดับ เมื่อปี ๒๕๒๕ เป็นการแปลโดยผู้แปลมีสิทธิที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการแปลภาษาไทยในประเทศไทยของโจทก์ได้สิ้นไปก่อนปี ๒๕๒๕ แล้ว
เนื่องจากโจทก์มิได้จัดทำให้มี หรืออนุญาตให้ผู้ใดจัดทำคำแปลเป็นภาษาไทย และโฆษณาคำแปลนั้นในประเทศไทยภายใน ๑๐ ปี นับแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๙ และวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๑๐ อันเป็นวันสิ้นปีปฏิทินของปีที่ได้ทำการโฆษณางานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษ ๒ เรื่องนี้เป็นครั้งแรก ตามลำดับ และปรากฏว่าผู้แปลเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์งานแปลเป็นภาษาไทยนั้นด้วยตนเอง โดยต้องใช้ความรู้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ประกอบด้วยความวิริยะอุตสาหะ ตลอดจนประสบการณ์ในการแปล ผู้แปลซึ่งปรากฏว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทยจึงได้ลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมที่แปลเป็นภาษาไทย เรื่อง สาวชาวแฟลต และเรื่อง คืนหฤโหด ดังกล่าว โดยได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายทันที่ที่สร้างสรรค์งานเสร็จ มีอายุแห่งการคุ้มครองตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ และมีอยู่ต่อไปอีกเป็นเวลา ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์งานแปลถึงแก่ความตาย
และผู้แปลย่อมมีสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะทำซ้ำหรือดัดแปลง หรือนำออกโฆษณาหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น และอนุญาตให้ผู้อื่นทำซ้ำหรือดัดแปลงหรือนำออกโฆษณาหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งงานแปลนั้น
ตามมาตรา ๔ มาตรา ๖ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการแปลวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ๒ เรื่อง ดังกล่าวเป็นภาษาไทย
เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้รับอนุญาตจากผู้แปลวรรณกรรมทั้ง ๒ เรื่องนั้น ให้ทำซ้ำ โดยจัดพิมพ์หนังสือที่แปลเป็นภาษาไทยดังกล่าว และนำหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นนั้นออกจำหน่ายได้
การที่จำเลยที่ ๑ ขาย และเสนอขายหนังสือที่แปลเป็นภาษาไทย ๒ เรื่องนี้ ซึ่งมีการจัดพิมพ์ขึ้นดังกล่าวเมื่อระหว่างเดือนกันยายน ๒๕๓๙ ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๓๙ จึงมิใช่การขายและเสนอขายงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์
การกระทำของจำเลยที่ ๑ ในส่วนนี้ย่อมไม่เป็นความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๑ (๑) ตามที่โจทก์ฟ้อง
((สิ่งหนึ่งที่ใช้ในการต่อสู้ คดีลิขสิทธิ์ อกาธา คริสตี้ ก็คืออนุสัญญากรุงเบอร์นว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม และข้อสงวน ๖ ข้อ ซึ่งรวมทั้งเรื่องสิทธิการแปลดังกล่าวที่ประเทศไทยได้ทำไว้ ซึ่งเป็นผลดีกับฝ่ายจำเลยมาก))
องค์ประกอบความผิด
สำหรับงานวรรณกรรมภาษาอังกฤษของโจทก์ เรื่อง Nemesis และเรื่อง Murder ซึ่งได้มีการโฆษณาครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๑๔ และปี ๒๕๑๙ นั้น ปรากฏว่าขณะที่จำเลยที่ ๗ และนายศิริพงษ์ จันทร์หอม แปลวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ๒ เรื่องนี้เป็นภาษาไทย ตามลำดับ
เป็นการแปลเมื่อมี ๒๕๒๓ ซึ่งเป็นเวลาที่ยังไม่พ้นกำหนด ๑๐ ปี นับแต่โจทก์ได้โฆษณาวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ๒ เรื่องนี้เป็นครั้งแรกในประเทศสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเป็นภาคีในอนุสัญญากรุงเบอร์นที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย
และงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษ ๒ เรื่องนี้ยังอยู่ในอายุแห่งการคุ้มครอง ๓๐ ปี นับแต่ปีที่มีการโฆษณาครั้งแรก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๔ มาตรา ๑๔ และบทเฉพาะกาล มาตรา ๕๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ ในขณะที่มีการแปลวรรณกรรมภาษาอังกฤษ ๒ เรื่องนี้เป็นภาษาไทย
สิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการแปลเป็นภาษาไทย หรือจัดให้มีการหรืออนุญาตให้ผู้ใดแปลเป็นภาษาไทย และโฆษณาซึ่งคำแปลนั้นในประเทศไทยของโจทก์ยังไม่สิ้นสุดลงตามข้อสงวนเกี่ยวกับสิทธิการแปลที่ประเทศไทยทำไว้ในประเทศไทยของโจทก์ยังไม่สิ้นสุดลงตามข้อสงวนเกี่ยวกับสิทธิการแปลที่ประเทศไทยทำไว้ในการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญากรุงเบอร์น
ดังนี้ การที่จำเลยที่ ๗ แปลวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษ เรื่อง Nemesis เป็นภาษาไทย และที่นายศิริพงษ์แปลวรรณกรรมและเรื่อง Sleeping Murder เป็นภาษาไทย เมื่อปี ๒๕๒๓ จึงต้องได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้แปลวรรณกรรม ๒ เรื่องนี้เป็นภาษาไทย
การแปลวรรณกรรม ๒ เรื่องนี้ จึงเป็นการแปลโดยไม่ชอบและอาจละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมต้นฉบับของโจทก์ได้ จำเลยที่ ๗ และนายศิริพงษ์จึงไม่ได้ลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมที่แปลเป็นภาษาไทยเรื่อง ฆ่าเพราะรัก และเรื่อง คดีเงียบ ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี ปรากฏว่าจำเลยที่ ๗ มิได้แปลงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษ เรื่อง Nemesis ของโจทก์เพียงเรื่องเดียว แต่จำเลยที่ ๗ ยังได้แปลงานวรรณกรรม เรื่อง The Murdeer of Roger Ackroyd เรื่อง Why Didn’t They Ask Evans? เรื่อง The Man in the Brown Suit แลเรื่อง Sparking Cyanide ด้วย
ซึ่งการแปลวรรณกรรมทั้ง ๔ เรื่องดังกล่าวได้วินิจฉัยข้างต้นแล้วว่าเป็นการแปลโดยชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยที่ ๗ ผู้แปลได้ลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมที่แปลเป็นภาษาไทยทั้ง ๔ เรื่องนั้น จึงทำให้มีเหตุผลให้เชื่อว่าที่จำเลยที่ ๗ แปลวรรณกรรมเรื่อง Nemesis ซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์
และโจทก์ยังคงมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการแปลงานของโจทก์อยู่นั้นเป็นเพราะจำเลยที่ ๗ เข้าใจโดยสุจริตว่าจำเลยที่ ๗ มีสิทธิแปลงานวรรณกรรมเรื่อง Nemesis ได้โดยชอบโดยเชื่อว่าสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการแปลวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยของโจทก์ได้สิ้นสุดแล้ว
เพราะงานวรรณกรรมเรื่อง Nemesis ได้ตกเป็นสาธารณสมบัติของเช่นเดียวกับงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษ ๔ เรื่องดังกล่าวดังได้วินิจฉัยแล้วข้างต้น จำเลยที่ ๗ มิได้มีเจตนาละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์แต่อย่างใด
ซึ่งในข้อนี้ก็ปรากฏว่าในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีไม่มูลสำหรับจำเลยที่ ๗ พิพากษาให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๗ ซึ่งโจทก์มิได้อุทธรณ์แต่อย่างใด คดีสำหรับจำเลยที่ ๗ จึงยุติในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง
เมื่อจำเลยที่ ๗ เชื่อโดยสุจริตว่ามีสิทธิแปลงานวรรณกรรมเรื่อง Nemesis ได้โดยชอบ จำเลยที่ ๗ จึงเข้าใจว่าตนมีสิทธิในงานวรรณกรรมที่ตนแปลเป็นภาษาไทยเรื่อง ฆ่าเพราะรัก และนำงานแปลวรรณกรรมเรื่อง ฆ่าเพราะรัก ไปทำสัญญาอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ ทำซ้ำโดยจัดพิมพ์
และนำหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นนั้นออกจำหน่ายเช่นเดียวกับที่จำเลยที่ ๗ ทำสัญญาอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ ทำซ้ำงานแปลวรรณกรรมทั้ง ๔ เรื่องดังกล่าวเป็นภาษาไทยซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของจำเลยที่ ๗ โดยจัดพิมพ์แนะนำหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นนั้นออกจำหน่ายตามสัญญาอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ เอกสารหมาย ล.๙
ซึ่งเป็นสัญญาฉบับเดียวกับที่จำเลยที่ ๗ อนุญาตให้จำเลยที่ ๑ จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือพิมพ์งานแปลทั้ง ๕ เรื่องนี้ กรณีย่อมมีเหตุผลให้น่าเชื่อเช่นกันว่าจำเลยที่ ๑ เข้าใจโดยสุจริตว่าจำเลยที่ ๗ มีลิขสิทธิ์ในงานแปลเป็นภาษาไทยทั้ง ๕ เรื่อง รวมทั้งงานแปลเรื่อง ฆ่าเพราะรัก ด้วย
เมื่อจำเลยที่ ๑ จัดพิมพ์หนังสือแปล เรื่อง ฆ่าเพราะรัก และนำหนังสือพิมพ์ขึ้นนั้นออกจำหน่ายตามสิทธิที่ตนมีอยู่ในสัญญาอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ที่ทำไว้กับจำเลยที่ ๗ ผู้อนุญาตโดยเชื่อว่าจำเลยที่ ๗ เป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานแปลวรรณกรรมเรื่อง ฆ่าเพราะรัก
การที่จำเลยที่ ๑ ขายและเสนอขายแก่บุคคลทั่วไปซึ่งหนังสือแปลเรื่อง ฆ่าเพราะรัก ที่จัดพิมพ์ขึ้นดังกล่าว แม้หนังสือดังกล่าวจะเป็นหนังสือที่พิมพ์ขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์
แต่จากข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ รู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่าหนังสือแปลที่พิมพ์ขึ้นนั้นเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษ เรื่อง Nemesis ของโจทก์
การกระทำของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าว เป็นการกระทำที่ขาดองค์ประกอบของความผิด ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๑ (๑) จึงไม่เป็นความผิดตามบทกฎหมายมาตราดังกล่าว ตามที่โจทก์ฟ้อง
ส่วนงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษ เรื่อง Sleeping Murder ซึ่งปรากฏว่าโจทก์เพิ่งโฆษณางานวรรณกรรมเรื่องนี้เป็นครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๑๙ แม้จะไม่ปรากฏว่านายศิริพงษ์ผู้แปลงานวรรณกรรมเรื่องนี้ได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้แปลเป็นภาษาไทยเรื่อง คดีเงียบ เมื่อปี ๒๕๒๓
แต่โจทก์ก็ไม่เคยร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่นายศิริพงษ์ในข้อหาความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ หรือฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายศิริพงษ์ในข้อหาความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ มาตรา ๔๓ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๔ (๑) และจนถึงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ อันเป็นวันฟ้องคดีนี้โจทก์ก็มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษนายศิริพงษ์ในข้อหาความผิดดังกล่าวแต่อย่างใด
ความผิดข้อหาดังกล่าวเป็นความผิดอันยอมได้ ตามมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งความผิดตามมาตรา ๔๓ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๔ (๑) ดังกล่าวมีระวางโทษปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ บาท ถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือจำคุกไม่เกิน ๑ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ บาท ถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาท
โจทก์ต้องร้องทุกข์ภายใน ๓ เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดฐานนี้ และรู้ตัวผู้กระทำความผิด มิฉะนั้นจะขาดอายุความในการดำเนินคดีอาญาในข้อหาความผิดดังกล่าว หรือในกรณีที่โจทก์ยังไม่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด โจทก์ก็ต้องฟ้องและได้ตัวผู้กระทำความผิดมายังศาลภายใน ๕ ปี นับแต่วันที่กระทำความผิด มิฉะนั้น คดีของโจทก์ย่อมขาดอายุความ ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ และ ๙๖
สำหรับกรณีนี้ โจทก์ต้องฟ้องนายศิริพงษ์อย่างช้าที่สุดภายในปี ๒๕๒๘ จึงจะไม่เกินกำหนดอายุความ ๕ ปี นับแต่วันกระทำความผิด คดีของโจทก์สำหรับนายศิริพงษ์ขาดอายุความไปแล้ว
ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.๑ ว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ในงานแปลเรื่อง คดีเงียบ กับนายศิริพงษ์ผู้อนุญาตเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๓๔ ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากคดีของโจทก์หากดำเนินคดีแก่นายศิริพงษ์ขาดอายุความไปแล้วประมาณ ๖ ปี
ด้วยข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงมีเหตุผลให้เชื่อว่า จำเลยที่ ๑ เข้าใจว่างานแปลเรื่อง คดีเงียบดังกล่าว เป็นงานแปลอันมีลิขสิทธิ์และนายศิริพงษ์ผู้แปลเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานแปลนั้น
การจัดพิมพ์หนังสือแปลเรื่อง คดีเงียบ และนำออกจำหน่ายซึ่งหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นของจำเลยที่ ๑ เป็นการกระทำโดยสุจริต มิได้มีเจตนาละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษ เรื่อง Sleeping Murder ของโจทก์แต่อย่างใด
การที่จำเลยที่ ๑ ขาย และเสนอขายแก่บุคคลทั่วไป ซึ่งหนังสือแปลเรื่อง คดีเงียบที่จัดพิมพ์ขึ้นดังกล่าวจึงมิใช่การขาย และเสนอขายหนังสือแปลนั้นโดยรู้อยู่แล้ว หรือมีเหตุอันควรรู้ว่าหนังสือแปลที่พิมพ์ขึ้นนั้นเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรมต้นฉบับภาษาอังกฤษ เรื่อง Sleeping Murder ของโจทก์
การกระทำของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าว เป็นการกระทำที่ขาดองค์ประกอบของความผิด ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๑ (๑) จึงไม่เป็นความผิดตามบทกฎหมายมาตราดังกล่าว ตามที่โจทก์ฟ้องเช่นกัน
ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ ๑ ขายและเสนอขานแก่บุคคลทั่วไปซึ่งหนังสือที่มีการแปลในช่วงปี ๒๕๒๒ ถึง ปี ๒๕๒๕ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ มีผลใช้บังคับแล้ว
แต่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนไขเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๒๖ ออกมาใช้บังคับ โดยแปลจากหนังสือต้นฉบับภาษาอังกฤษซึ่งเป็นงานวรรณกรรมอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ จำนวน ๑๕ เรื่องดังกล่าวเมื่อระหว่างเดือนกันยายน ๒๕๓๙ ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๓๙ เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๖๙ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๗ (๑) นั้น
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ข้อนี้ฟังขึ้น สรุปได้ว่า การกระทำทั้งหมดของจำเลยที่ ๑ ไม่เป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง
เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ที่ว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ และปัญหาว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ต่อไป เพราะแม้จะวินิจฉัยให้ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
อนึ่ง แม้หนังสือแปลเรื่อง ฆ่าเพราะรัก และเรื่อง คดีเงียบ ที่เจ้าพนักงานตำรวจกองบังคับการสืบสวนคดีเศรษฐกิจได้ยึดไว้จะเป็นหนังสือพิมพ์ขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ก็ตาม แต่การที่จะสั่งให้หนังสือดังกล่าวตกเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๕ ได้นั้น หนังสือดังกล่าวต้องยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้กระทำความความผิดตามมาตรา ๗๐
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๗๐ ดังกล่าว กรณีจึงไม่อาจสั่งให้แปลทั้งสองเรื่องนั้นตกเป็นของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๗๕ ได้
พิพากษาแก้ เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เสียทั้งหมด.
นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี
นายกำพล ภู่สุดแสวง
นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย
ลงวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๔๘ : อ่านเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๔๘
อ้างอิงคดีศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง : คดีหมายเลขดำที่ อ. ๑๙๑๑/๒๕๔๔
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง คดีลิขสิทธิ์ อกาธา คริสตี้
- อนุสัญญากรุงเบอร์นว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม ค.ศ.๑๘๘๖
- พระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนไขเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ พ.ศ.๒๕๒๖ มาตรา ๕
- พระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พ.ศ.๒๔๗๔ มาตรา ๓๒
- พระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พ.ศ.๒๔๗๔ มาตรา ๓๑
- พระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พ.ศ.๒๔๗๔ มาตรา ๒๙
- พระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พ.ศ.๒๔๗๔ มาตรา ๑๔
- พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๒๑ มาตรา ๔๒
คดีอื่นที่น่าสนใจ กรณีฟ้องระหว่างสำนักพิมพ์บทจรกับสำนักพิมพ์สามัญชนในเรื่องหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว