คดีปราสาทพระวิหาร เป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับการศึกษาความเป็นมาของปัญหาระหว่างชายแดนไทย กัมพูชา
ปราสาทพระวิหาร
ปราสาทพระวิหาร เป็นปราสาทหินโบราณตามแบบศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย (คือ การบูชาพระอิศวรหรือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด) ตั้งอยู่บริเวณทิวเขาพนมดงรัก บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา สูงจากระดับทะเลปานกลาง ๖๕๗ เมตร เหนือพื้นที่อันเป็นที่ราบในประเทศกัมพูชา เป็นการเลือกทำเลที่ตั้งอให้ศาสนสถานแห่งนี้มีความงดงามด้วยภูมิทัศน์ สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม
ชื่อของปราสาทพระวิหารนั้นตามหลักฐานศิลาจารึก คือ ศรีศิขเรศวร อันหมายถึง ภูเขาแห่งพระอิศวร และยังได้กล่าวถึงการสถาปนาศิวลึงค์ที่ปราสาทประธาน ที่หน้าบันมณฑปหน้าสลักเป็นภาพพระศิวะประทับบนหลังช้าง หรือ พระศิวะนาฏราชบนหลังช้าง
ตามจารึกที่กรอบประตูโคปุระชั้นที่ ๓ กล่าวถึงชื่อผู้สร้างปราสาทพระวิหาร คือ พระเจ้าสูรยวรรมันที่ ๑ (พ.ศ. ๑๕๔๕ – ๑๕๙๓) หรือที่เรามักจะเรียกว่า พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑

(โปรดอ่านรายละเอียดจากหนังสือ ศรีศิขเรศวร ปราสาทพระวิหาร เขียนโดย ศ.ดร. ศักดิ์ชัย สายสิงห์)
องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (อังกฤษ: United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) หรือ UNESCO) ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อวันวันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ปัจจุบันกัมพูชาเป็นผู้ถือสิทธิครองปราสาทพระวิหาร
อย่างไรก็ตาม ปราสาทพระวิหารเป็นหนึ่งในจุดศูนย์กลางของข้อพิพาทชายแดนอันยืดเยื้อและซับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชามาช้านาน ข้อพิพาทนี้ไม่ได้เป็นเพียงการอ้างสิทธิ์เหนือโบราณสถานแห่งเดียว แต่สะท้อนถึงประเด็นทางประวัติศาสตร์ กฎหมายระหว่างประเทศ และอธิปไตยของชาติที่ฝังรากลึกในยุคอาณานิคม
คดีปราสาทพระวิหาร
กัมพูชาขนำเรื่องขึ้นเสนอสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ เพื่อเรียกร้องปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ไม่ใช่ของประเทศไทย
แต่รากเหง้าของคดีปราสาทพระวิหารมีจุดเริ่มต้นยาวนาน ย้อนกลับไปได้ถึงยุคล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสในอินโดจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียอาคเนย์เป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องการแย่งชิงดินแดนอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งสร้างความคลุมเครือและข้อขัดแย้งที่ตกทอดมายังรัฐเอกราชในภายหลัง
บล็อกนี้จะเล่าท้าวความเป็นมาของคดีปราสาทพระวิหาร โดยเริ่มจากวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเสียอธิปไตยเหนือดินแดนบางส่วนของสยามให้กับฝรั่งเศส และติดตามพัฒนาการของข้อพิพาทผ่านสนธิสัญญาต่างๆ การตัดสินของศาลโลกในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ และการตีความคำพิพากษาในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จนถึงสถานะปัจจุบัน
วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ และการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส
ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ กลายเป็นเป้าหมายหนึ่งของการล่าอาณานิคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากฝรั่งเศส ซึ่งได้เข้ายึดครองไซง่อนและเวียดนามใต้เป็นอาณานิคมตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๐๔ (ค.ศ. ๑๘๖๑) และเริ่มขยายอิทธิพลเข้าสู่ลาวและกัมพูชา
สยามในขณะนั้นต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักจากมหาอำนาจตะวันตกเพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของตน โดยเฉพาะเหตุวิกฤติใน ร.ศ. ๑๑๒ หรือ พ.ศ. ๒๔๓๖ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในช่วงเวลานั้น ฝรั่งเศส ซึ่งยึดครองญวน เขมรได้แล้ว พยายามรุกคืบเพื่อยึดดินแดนสยามหลายครั้ง หลายวิธี เช่น กองกำลังทหารฝรั่งเศส นำโดย โดยมองซิเออร์ลูซ (Luce) ใช้กำลังยึดเมืองคำม่วน เมืองหนึ่งในมณฑลลาวพวน พระยอดเมืองขวาง (ขำ ยอดเพชร) เจ้าเมืองคำม่วนไม่ยอม และเกิดการรบกันเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ส่งผลให้นายกรอสกุรัง หรือ โกรสกือแร็ง หนึ่งในผู้นำกองกำลังชาวฝรั่งเศส เสียชีวิตพร้อมกับทหารญวนจำนวนหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีการขับพ่อค้าวาณิชชาวฝรั่งเศสสามคนจากแม่น้ำโขงตอนกลางในเดือนกันยายน ๒๔๓๖ ซึ่งสองในนั้นต้องสงสัยว่าลักลอบค้าฝิ่น ไม่นานจากนั้น กงสุลฝรั่งเศสในหลวงพระบาง มัซซี ฆ่าตัวตายระหว่างทางกลับฝรั่งเศส ผู้สำเร็จราชการอินโดจีน ฌอง เดอ ลาแนสซัง ส่ง โอกุสต์ ปาวี เป็นกงสุลหลวงพระบาง ให้มาเป็นกงศุลประจำกรุงเทพมหานคร
โอกุสต์ ปาวี เรียกร้องให้ลงโทษพระยอดเมืองขวาง ซึ่งการตัดสินคดีครั้งแรกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๗ ตัดสินว่าพระยอดเมืองขวางบริสุทธิ์ นายลาเนสซัง ผู้สำเร็จราชการอินโดจีน ขอให้จัดตั้งศาลผสมไทย-ฝรั่งเศส ประกอบด้วยผู้พิพากษาฝรั่งเศส ๓ คน สยาม ๒ คน พิจารณาคดีอีกครั้งเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๗ และตัดสินให้จำคุกพระยอดเมืองขวาง ๒๐ ปี ด้วยเสียงข้างมาก ๓ เสียงของฝ่ายฝรั่งเศส
ในช่วง ร.ศ. ๑๑๒ นี้เอง โอกุสต์ ปาวี ยื่นคำขาดให้สยามยกดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงที่กำลังมีเรื่องพิพาทให้ฝรั่งเศสทั้งหมด แต่เมื่อสยามปฏิเสธ โอกุสต์ ปาวีจึงเดินทางออกจากราชอาณาจักรสยาม จากนั้นกองทัพเรือฝรั่งเศสได้ยกเรือรบ ประกอบด้วยเรือแอ็งกงสต็อง เรือกอแม็ต และเรือฌ็อง บาติสต์ แซ เข้ามาปิดอ่าวไทย โดยเรือรบฝรั่งเศสได้บุกเข้าปากน้ำเจ้าพระยาและเล็งปืนใหญ่เข้าหาพระสมุทรเจดีย์
การปะทะกันครั้งนี้ส่งผลให้ทหารไทยเสียชีวิต ๘ นาย และบาดเจ็บ ๔๐ นาย ขณะที่ทหารฝรั่งเศสเสียชีวิต ๓ นาย และบาดเจ็บ ๓ นาย ทำให้สยามยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องและยกดินแดนลาวทั้งหมดให้แก่ฝรั่งเศส
สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ. ๑๑๒
เพื่อยุติวิกฤตการณ์ที่บานปลายและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางทหารที่อาจนำไปสู่การสูญเสียเอกราช สยามจำต้องลงนามในสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ. ๑๑๒ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๔๖ (ค.ศ. ๑๘๓๙) ณ กรุงเทพมหานคร
สนธิสัญญานี้มีสาระสำคัญที่สะท้อนถึงการสูญเสียอธิปไตยครั้งสำคัญของสยาม:
การเสียดินแดน: สยามต้องยอมสละสิทธิและอำนาจทั้งหมดในดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง รวมถึงเกาะแก่งต่าง ๆ ในแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส ซึ่งมีพื้นที่รวมประมาณ ๑๔๓,๘๐๐ ตารางกิโลเมตร และพลเมืองประมาณ ๖๐๐,๐๐๐ คน. การเสียดินแดนครั้งนี้รวมถึงราชอาณาจักรลาวเกือบทั้งหมด และสิบสองจุไทย ซึ่งตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส
ข้อจำกัดทางทหาร: สยามถูกห้ามมิให้มีเรือติดอาวุธ หรือเดินเรือในน่านน้ำทะเลสาบและแม่น้ำโขง รวมถึงลำน้ำที่แยกจากแม่น้ำโขง. นอกจากนี้ สยามต้องไม่สร้างค่ายหรือที่ตั้งกองทหารในเมืองพระตะบองและเมืองนครเสียมราฐ รวมถึงบนฝั่งขวาแม่น้ำโขงในรัศมี ๒๕ กิโลเมตร
สิทธิการตั้งกงสุล: ฝรั่งเศสสงวนสิทธิที่จะตั้งกงสุล ณ ที่ใดก็ได้ โดยเฉพาะที่น่านและโคราช ซึ่งเป็นการขยายอิทธิพลทางการเมืองของฝรั่งเศสเข้ามาในดินแดนสยามโดยตรง
ค่าเสียหาย: สยามต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ฝรั่งเศสเป็นเงินจำนวน ๓ ล้านฟรังก์ ซึ่งตีเป็นเงินไทยประมาณ ๑,๕๖๐,๐๐๐ บาทในสมัยนั้น
การยึดจันทบุรีเป็นหลักประกัน: ฝรั่งเศสได้ยึดเมืองจันทบุรีไว้ในอารักขาจนกว่าสยามจะชดใช้ค่าเสียหายครบถ้วน. การยึดครองจันทบุรีกินเวลานานถึง ๑๐ ปี ๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ถึง ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๗
ผลกระทบต่อการกำหนดเขตแดนและอธิปไตยของสยาม
วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ และสนธิสัญญาที่ตามมา ไม่ใช่เพียงแค่การปรับเปลี่ยนเขตแดน แต่เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการถูกลดทอนอำนาจอธิปไตยของสยามภายใต้แรงกดดันจากมหาอำนาจอาณานิคม
การยินยอมในข้อจำกัดทางทหาร สิทธิการตั้งกงสุล และการแทรกแซงทางตุลาการ ได้สร้างแบบอย่างของความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียม ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีพิจารณาคดีพระยอดเมืองขวาง ซึ่งรัฐบาลไทยได้ตั้ง “ศาลรับสั่งพิเศษ” และตัดสินว่าพระยอดเมืองขวางไม่ผิด แต่ฝรั่งเศสไม่พอใจและเรียกร้องให้ตั้ง “ศาลผสม” ซึ่งตัดสินว่าพระยอดเมืองขวางมีความผิดและจำคุก ๒๐ ปี
การกระทำเช่นนี้สะท้อนถึงการลดทอนอำนาจอธิปไตยของสยามในด้านตุลาการอย่างมีนัยสำคัญ.
สนธิสัญญานี้ถือเป็นการขยายอิทธิพลครั้งสำคัญของฝรั่งเศสในอินโดจีน และนำไปสู่การสูญเสียดินแดนประเทศราชของไทยในเขมรและลาวที่เหลืออยู่ต่อมา ในสายตาของทั้งไทยและฝรั่งเศสต่างเห็นตรงกันว่าฝรั่งเศสได้มากกว่าเสีย
การที่ฝรั่งเศสสามารถยึดจันทบุรีไว้เป็นประกันได้นานกว่า ๑๐ ปี และการบังคับให้มีการพิจารณาคดีพระยอดเมืองขวางซ้ำโดยศาลผสม เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าสยามไม่ได้อยู่ในสถานะที่เท่าเทียมในการเจรจา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นสัญญาณของการที่อำนาจอธิปไตยของสยามถูกบั่นทอนลงอย่างเป็นระบบ
(ซึ่งเป็นบริบทสำคัญที่ทำให้เข้าใจถึงการยอมรับหรือการไม่คัดค้านแผนที่ในเวลาต่อมา)
วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ได้วางรากฐานสำหรับรูปแบบการเจรจาเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในอนาคต ซึ่งผลประโยชน์และการกระทำฝ่ายเดียวของฝรั่งเศสมักเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ และนำไปสู่ความคลุมเครือที่เป็นต้นตอของข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร สนธิสัญญาปี พ.ศ. ๒๔๔๗ และ ๒๔๕๐ ซึ่งจะกล่าวถึงในส่วนถัดไป เป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจากกระบวนการนี้
และการที่ฝรั่งเศสสามารถจัดทำแผนที่ภาคผนวก ๑ ขึ้นมาฝ่ายเดียวได้โดยไม่ได้รับการคัดค้านอย่างทันท่วงทีจากสยาม เป็นผลโดยตรงจากความไม่สมดุลของอำนาจที่เกิดขึ้นและได้รับการตอกย้ำจากวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒
แผนที่ภาคผนวก ๑: จุดเริ่มต้นของปัญหาปราสาทพระวิหาร
หลังจากวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ สยามยังคงเผชิญกับการรุกคืบและการบีบจากฝรั่งเศส ทำให้ต้องมีการทำสนธิสัญญาเพิ่มเติมเพื่อกำหนดเขตแดนและแลกเปลี่ยนดินแดน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการแลกเปลี่ยนดินแดนของสยามในยุคนั้น เพื่อรักษาส่วนที่สำคัญของประเทศไว้ โดยยอมสละดินแดนชายขอบที่ถูกฝรั่งเศสอ้างสิทธิ์และยึดครองอยู่แล้ว.
การแลกเปลี่ยนดินแดน
สนธิสัญญา พ.ศ. ๒๔๔๖ (ค.ศ. ๑๙๐๓): สยามได้ทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส โดยยอมยกเมืองหลวงพระบาง (ส่วนที่เหลือ) และดินแดนทางใต้เทือกเขาพนมดงรัก (ภูเขาดงเร็ก) ให้ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับการได้เมืองจันทบุรีที่ถูกยึดเป็นประกันคืนมา สนธิสัญญานี้ยังกำหนดให้มีการตั้งคณะกรรมการผสมเพื่อปักปันเขตแดน สนธิสัญญานี้ระบุให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน
สนธิสัญญา พ.ศ. ๒๔๔๙ (ค.ศ. ๑๙๐๖): สืบเนื่องจากอนุสัญญาปี ๑๙๐๔ สยามได้ลงนามในสนธิสัญญากับฝรั่งเศสอีกฉบับ โดยยอมยกมณฑลบูรพา ซึ่งได้แก่ เมืองพระตะบอง, เมืองเสียมราฐ, และเมืองศรีโสภณ ให้แก่ฝรั่งเศส การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ทำให้สยามได้เมืองด่านซ้าย, เมืองตราด, และเกาะแก่งทั้งหลายที่อยู่ภายใต้แหลมสิงห์ลงไปจนถึงเกาะกูดกลับคืนมา
การทำสนธิสัญญาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงยุทธศาสตร์การประนีประนอมของสยามภายใต้แรงกดดันจากมหาอำนาจอาณานิคม เพื่อรักษาแกนกลางของประเทศและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางทหารโดยตรง
การจัดทำ “แผนที่ภาคผนวก ๑” โดยฝรั่งเศส
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ (ค.ศ. ๑๙๐๘) หลังจากสนธิสัญญาปี ๒๔๔๖ ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ขึ้นฝ่ายเดียว ซึ่งต่อมากลายเป็นที่รู้จักในชื่อ “แผนที่ภาคผนวก ๑” (Annex I map)
แผนที่นี้แสดงให้เห็นว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนของกัมพูชา ซึ่งขัดแย้งกับหลักสันปันน้ำที่ควรจะเป็นเส้นแบ่งพรมแดนตามสนธิสัญญา พ.ศ. ๒๔๔๖
ข้อเท็จจริงประการหนึ่งคือ แผนที่ฉบับนี้ จัดทำโดย ร้อยเอก Kerler และร้อยเอก Oum และคณะนายช่างสำรวจของฝรั่งเศสเพียงฝ่ายเดียว ไม่ได้ผ่านคณะกรรมการผสมปักปันเขตแดนตามที่ตั้งขึ้นจาก สนธิสัญญา พ.ศ. ๒๔๔๖ เนื่องจากยุติการปฏิบัติหน้าที่ไปก่อนที่จะได้รับผลการสำรวจบริเวณเทือกเขาดงรัก
(อ้างอิง คดีปราสาทพระวิหาร โดย เชิดชู รักตะบุตร)
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสยามในเวลานั้นไม่ได้คัดค้านแผนที่นี้อย่างเป็นทางการ โดยอาจเป็นเพราะต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาและรักษาความสงบเรียบร้อย เพื่อปกป้องเอกราชและอธิปไตยของประเทศไว้ให้ได้มากที่สุด
บทบาทของแผนที่ในการอ้างสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหาร
“แผนที่ภาคผนวก ๑” กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่กัมพูชาใช้อ้างสิทธิ์ในคดีต่อศาลโลกจากฝั่งกัมพูชา การที่ปราสาทพระวิหารถูกแสดงไว้ทางทิศใต้ของเส้นเขตแดนในแผนที่ (ซึ่งเป็นฝั่งกัมพูชา) ทั้งที่ตามความเป็นจริงของภูมิประเทศและหลักสันปันน้ำควรอยู่ฝั่งไทย
การที่สยามไม่ได้ประท้วงแผนที่ภาคผนวก ๑ ที่จัดทำขึ้นฝ่ายเดียวอย่างเป็นทางการและทันท่วงที กลายเป็น “กับดัก” ทางกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญ หรือที่เรียกว่าหลัก “การยอมรับโดยปริยาย” (tacit acceptance) ซึ่งศาลโลกจะนำมาใช้เป็นเหตุผลหลักในการตัดสินคดีในภายหลัง
การที่ศาลให้น้ำหนักกับพฤติกรรมในอดีตของรัฐ (การไม่คัดค้าน) มากกว่าการอ้างสิทธิ์ตามหลักภูมิศาสตร์หรือเจตนาเดิมของสนธิสัญญา แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตอบสนองของรัฐต่อเอกสารและสถานการณ์ระหว่างประเทศ สิ่งนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับทุกรัฐในการจัดการเรื่องเขตแดนและเอกสารทางการทูต
ความขัดแย้งพื้นฐานระหว่างหลักการปักปันเขตแดนตามสันปันน้ำที่ตกลงกันในสนธิสัญญาปี พ.ศ. ๒๔๔๖ กับความเป็นจริงของเส้นเขตแดนที่ปรากฏบนแผนที่ภาคผนวก ๑ ที่จัดทำขึ้นฝ่ายเดียว ถือเป็นข้อบกพร่องเชิงโครงสร้างที่สำคัญที่ทำให้ข้อพิพาทนี้ดำรงอยู่มานานหลายทศวรรษ ความไม่สอดคล้องกันนี้เองที่สร้างความคลุมเครือและข้อโต้แย้งที่ยากจะแก้ไขได้ด้วยวิธีทางการทูตเพียงอย่างเดียว
คดีปราสาทพระวิหาร ณ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ปี พ.ศ. ๒๕๐๕
ข้อพิพาทปราสาทพระวิหารได้ยกระดับสู่เวทีระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อกัมพูชาตัดสินใจนำเรื่องขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
จุดเริ่มต้นของคดี: การยื่นฟ้องของกัมพูชา (พ.ศ. ๒๕๐๒)
ปัญหาปราสาทพระวิหารเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อกัมพูชาและฝรั่งเศสร่วมกันคัดค้านอำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหารของประเทศไทยในปี พ.ศ. ๒๔๙๒
หลังจากกัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสได้ ๖ ปี ในวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ พระเจ้านโรดม สีหนุ แห่งกัมพูชา ได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ “ศาลโลก” เพื่อให้ไทยคืนปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา
รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ของไทยได้แต่งตั้ง ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เป็นทนายฝ่ายไทยในการสู้คดี กัมพูชาเลือกใช้ศาลโลกด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ความสำเร็จและชัยชนะทางประวัติศาสตร์จากการนำคดีขึ้นศาลโลกในอดีต การแสวงหาความชอบธรรมและการแก้ปัญหาในระดับสากล ความต้องการความชัดเจนของแนวเขตแดน และใช้เป็นเครื่องมือทางการทูตและอำนาจต่อรองเมื่อการเจรจาระดับทวิภาคีไม่คืบหน้า
ข้อโต้แย้งหลักของไทยและกัมพูชา
ฝ่ายกัมพูชา: ยึด “แผนที่ภาคผนวก ๑” เป็นหลักฐานสำคัญ โดยอ้างว่าแผนที่นี้จัดทำโดยนักภูมิศาสตร์ฝรั่งเศสในปี ๒๔๕๐ และแสดงให้เห็นว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนของกัมพูชา กัมพูชายังอ้างสิทธิอธิปไตยตามสนธิสัญญาและจากการใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนดังกล่าว
ฝ่ายไทย: โต้แย้งว่าพื้นที่ปราสาทพระวิหารเป็นของไทย หากวาดเส้นเขตแดนอย่างเคร่งครัดตามถ้อยคำของข้อ ๑ แห่งสนธิสัญญาเขตแดนปีพ.ศ. ๒๔๔๗ และยึดตามแนวสันปันน้ำทางภูมิศาสตร์ ไทยยังยืนยันว่าแผนที่ภาคผนวก ๑ จัดทำขึ้นฝ่ายเดียวโดยฝรั่งเศส ไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการผสม และไทยไม่เคยยอมรับแผนที่ฉบับนี้อย่างชัดแจ้งว่าเป็นเส้นเขตแดน
คำตัดสินของศาลโลก (๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕): เหตุผลและผลกระทบ
เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้มีคำตัดสินด้วยคะแนนเสียง ๙ ต่อ ๓ ให้ “ตัวปราสาทพระวิหาร” ตกเป็นของกัมพูชา นอกจากนี้ ศาลยังตัดสินด้วยคะแนนเสียง ๗ ต่อ ๕ ให้ประเทศไทยส่งคืนโบราณวัตถุที่นำออกมาจากปราสาทเขาพระวิหารตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งเป็นปีที่ไทยเข้ายึดครองพื้นที่ดังกล่าว
เหตุผลสำคัญของศาลโลกในการตัดสินคดีนี้คือการใช้หลักกฎหมาย “การยอมรับโดยปริยาย” (tacit acceptance หรือ acquiescence) ศาลพิจารณาว่ารัฐบาลไทยในขณะนั้นไม่ได้คัดค้านแผนที่ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ (๑๙๐๘) ภายในเวลาอันสมควร จึงถือว่า “การนิ่งคือการยอมรับ”
ศาลยังอ้างอิงถึงพฤติกรรมของฝ่ายไทย เช่น การที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ตรัสขอบใจราชทูตฝรั่งเศสผู้นำส่งแผนที่ และผู้ว่าราชการจังหวัดก็มิได้ทักท้วง ถูกนำมาเป็นเหตุผลประกอบว่าสยามรับแผนที่ฉบับนี้ นอกจากนี้ การเสด็จเยือนปราสาทในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ โดยมีผู้สำเร็จราชการชาวฝรั่งเศสรับเสด็จในฐานะทรงเยือนจังหวัดหนึ่งของกัมพูชา ก็ถูกนำมาเป็นเหตุผลประกอบของทางฝั่งกัมพูชา
และถึงแม้จะมีการสำรวจพบความแตกต่างระหว่างเส้นพรมแดนในแผนที่กับแนวสันปันน้ำจริงในภายหลัง (พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๔๗๘) แต่สยามยังคงใช้และจัดพิมพ์แผนที่ที่แสดงว่าพระวิหารตั้งอยู่ในกัมพูชา
อ่านเพิ่ม Summary of the Judgment of 15 June 1962, CASE CONCERNING THE TEMPLE OF PREAH VIHEAR
ดังนั้นเสียงส่วนใหญ่จึงตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในการครอบครองของกัมพูชา
การที่ศาลให้น้ำหนักกับพฤติกรรมในอดีตของรัฐ (การไม่คัดค้าน) มากกว่าการอ้างสิทธิ์ตามหลักภูมิศาสตร์หรือเจตนาเดิมของสนธิสัญญา แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตอบสนองของรัฐต่อเอกสารและสถานการณ์ระหว่างประเทศ สิ่งนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับทุกรัฐในการปกป้องสิทธิอธิปไตยของตน
อย่างไรก็ตาม ศาลโลกไม่ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับดินแดนโดยรอบปราสาททางทิศเหนืออย่างชัดเจน ทำให้ไทยยังคงอ้างสิทธิ์ในพื้นที่โดยรอบและยืนยันว่าเขตแดนในบริเวณนั้นยังไม่มีการปักปันอย่างเป็นทางการ
การที่ศาลตัดสินเพียง “ตัวปราสาท” แต่ไม่รวมถึงพื้นที่โดยรอบ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของข้อพิพาทชายแดนในทางปฏิบัติ ทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ และทิ้งช่องว่างทางกฎหมายที่สำคัญไว้ ซึ่งกลายเป็นบ่อเกิดของความตึงเครียดและข้อพิพาทในอนาคต
ผลกระทบ:
ฝ่ายไทย: รัฐบาลไทย โดย ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือประท้วงคำพิพากษาของศาลโลกไปยังเลขาธิการสหประชาชาติ โดยอ้างว่าคำพิพากษานั้นขัดต่อกฎหมายและความยุติธรรม ไทยยังสงวนสิทธิ์ที่จะเรียกร้องปราสาทพระวิหารกลับคืนในอนาคต โดยอาศัยกระบวนการกฎหมายที่มีอยู่หรือที่จะพึงนำมาใช้ได้ในภายหลัง
มีการดำเนินการเชิงสัญลักษณ์ โดยพลโทประภาส จารุเสถียร ได้คุมทหารและตำรวจตระเวนชายแดนเชิญธงชาติไทยจากหน้าผาเป้ยตาดีลงมาทั้งเสา และนำไปติดตั้งไว้บริเวณฐานปฏิบัติการ ตชด. ที่ผามออีแดง คณะรัฐมนตรียังมีมติให้ล้อมรั้วลวดหนามใกล้ตัวปราสาทเขาพระวิหาร เพื่อยืนยันสิทธิ์ในพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตรที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์
ฝ่ายกัมพูชา: หลังจากคำตัดสิน กัมพูชามีการเฉลิมฉลองทั่วประเทศและประกาศวันหยุดราชการ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ สมเด็จเจ้าสีหนุได้เสด็จขึ้นปราสาทพระวิหารเพื่อทำพิธีบวงสรวง
การตีความคำพิพากษาปี พ.ศ. ๒๕๐๕ และคำตัดสินปี พ.ศ. ๒๕๕๖
แม้คำตัดสินปี พ.ศ. ๒๕๐๕ จะให้ความชัดเจนเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือตัวปราสาท แต่การที่ศาลไม่ได้วินิจฉัยอย่างชัดเจนเกี่ยวกับ “บริเวณโดยรอบปราสาท” ได้ทิ้งช่องว่างทางกฎหมายที่สำคัญไว้ ซึ่งกลายเป็นบ่อเกิดของความตึงเครียดและข้อพิพาทในเวลาต่อมา
การขึ้นทะเบียนมรดกโลกและการปะทะชายแดน
กัมพูชาได้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของยูเนสโก ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ แต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่ง พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ ๒ ได้ประกาศกฎอัยการศึก ครอบคลุมอำเภอ กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ในเดือน พฤษภาคม ๒๕๕๑
รัฐบาลไทยในขณะนั้น (รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช) ได้หารือกับกัมพูชา โดยมี นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของไทย ได้หารือร่วมกับตัวแทนกัมพูชาที่เกาะกง และตกลงสนับสนุนการขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท โดยมีเงื่อนไขว่าแผนที่แนบเอกสารคำขอจะต้องไม่มีการล้ำเข้ามาในเขตไทย
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการนี้ก่อให้เกิดการประท้วงภายในประเทศไทยจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลปกครองกลางที่สั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ยุติการดำเนินการ แม้จะมีการคัดค้านจากไทย ยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกตามคำขอของกัมพูชาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
หลังจากนั้น ทางกัมพูชาก็ได้เริ่มดำเนินการก่อนสร้างถนนคอนกรีต จากฝั่งกัมพูชา เพื่อขึ้นสู่ปราสาทพระวิหารได้สะดวก ซึ่งทำให้ทวีความตึงเครียดและมีการปะทะชายแดน ในช่วงระหว่างปีพ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๔ และเกิดการปะทะกันด้วยอาวุธหลายครั้ง โดยเฉพาะในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ และ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งมีทหารเสียชีวิตทั้งสองฝ่าย
การยื่นคำร้องขอตีความของกัมพูชา (พ.ศ. ๒๕๕๔) และข้อโต้แย้งของไทย
จากสถานการณ์ความตึงเครียดและการปะทะกัน กัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลโลกเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อขอให้ “ตีความ” คำพิพากษาเดิมปี พ.ศ. ๒๕๐๕ โดยมุ่งเน้นที่ประเด็น “บริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหาร”
กัมพูชายังขอให้ศาลระบุมาตรการคุ้มครองชั่วคราว เพื่อให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่รอบปราสาท หยุดกิจกรรมทางทหาร และงดการกระทำใดๆ ที่อาจเพิ่มความขัดแย้ง
ข้อโต้แย้งของฝ่ายไทย: ไทยคัดค้านคำขอของกัมพูชา โดยให้เหตุผล ๓ ประเด็นหลัก:
- ศาลไม่มีอำนาจพิจารณา: ไทยมองว่าคำร้องของกัมพูชาเป็น “คดีใหม่” ไม่ใช่การตีความคำพิพากษาเดิม
- ไม่มีข้อพิพาทเรื่องการตีความ: ไทยอ้างว่ากัมพูชาเคยยอมรับว่าไทยปฏิบัติตามคำพิพากษาปี พ.ศ. ๒๕๐๕ แล้ว
- คำร้องเป็นการอุทธรณ์แฝง: ไทยเห็นว่ากัมพูชากำลังพยายามให้ศาลตัดสินในประเด็นที่ศาลเคยปฏิเสธจะพิจารณาในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ (เรื่องแผนที่และเส้นเขตแดน) ซึ่งหมายความว่าไม่ใช่ “การตีความ” อย่างแท้จริง
แม้ไทยจะคัดค้าน แต่ศาลโลกได้มีคำสั่งมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยสั่งให้ทั้งสองฝ่ายถอนกำลังทหารออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราว และร่วมมือกันภายใต้กรอบอาเซียน รวมถึงอนุญาตให้ผู้สังเกตการณ์เข้าไปในพื้นที่ได้ และสั่งให้ไทยไม่ขัดขวางการเข้าถึงปราสาทพระวิหารของกัมพูชา
คำตัดสินของศาลโลก (๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖)
ในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ศาลโลกได้มีคำตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า คำพิพากษาปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้มอบอำนาจอธิปไตยเหนือ “ชะง่อนผาพระวิหาร” ทั้งหมดให้แก่กัมพูชา
ศาลชี้แจงว่า “บริเวณโดยรอบปราสาท” และ “บริเวณใกล้เคียง” ที่ระบุในคำพิพากษาปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ล้วนหมายถึงพื้นที่เดียวกัน คือ “ชะง่อนผาพระวิหาร” พื้นที่นี้หมายถึงลักษณะภูมิประเทศที่เป็นแหลมยื่นออกไป มีหน้าผาชันทางด้านใต้ลาดลงสู่ที่ราบกัมพูชา และทางด้านเหนือขอบเขตยึดตามเส้นในแผนที่ภาคผนวก ๑ ที่ใช้ในคดีเดิม
ดังนั้น ไทยมีหน้าที่ต้องถอนกำลังทหาร ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยออกจากพื้นที่ “ชะง่อนผาพระวิหาร” ทั้งหมด ไม่ใช่แค่ตัวปราสาทเท่านั้น
อ้างอิง BBC: ย้อนรอยกรณีพิพาทเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ในศาลโลก
คำตัดสินปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งตีความคำพิพากษาปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้ขยายขอบเขตของพื้นที่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาจาก “ตัวปราสาท” ไปยัง “ชะง่อนผาพระวิหาร” ทั้งหมด โดยใช้เส้นในแผนที่ภาคผนวก ๑ เป็นขอบเขตทางเหนือ
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการตีความทางกฎหมายสามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์เชิงปฏิบัติของคำตัดสินเดิม และอาจนำไปสู่การสูญเสียพื้นที่ที่ไทยเคยเข้าใจว่าตนมีสิทธิ์ แม้ศาลจะไม่ได้รับรองแผนที่ภาคผนวก ๑ ทั้งฉบับว่าเป็นเส้นเขตแดนทั้งหมด และยอมรับว่าแผนที่ภาคผนวก ๑ ถูกสร้างขึ้นโดยผิดจากความเป็นจริง แต่การนำเส้นบนแผนที่มาใช้กำหนดขอบเขตของ “ชะง่อนผาพระวิหาร” ก็เท่ากับเป็นการขยายพื้นที่ที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาจากความเข้าใจเดิมของไทย
ศาลโลกยังคงแนะนำให้ไทยและกัมพูชาร่วมกันพัฒนาปราสาทพระวิหารในฐานะมรดกโลก
ผลกระทบ
คำตัดสินปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความตึงเครียดที่สะสมมานาน แม้จะมีการตีความที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณปราสาทที่ไทยต้องถอนทหาร แต่ข้อพิพาทเรื่องเขตแดนโดยรวมยังไม่ได้รับการแก้ไขทั้งหมด
ศาลโลกยังคงแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายหารือกันในรายละเอียดของขอบเขตบริเวณใกล้เคียงปราสาทต่อไป ฝ่ายไทยเน้นย้ำว่าศาลไม่ได้รับพิจารณาข้อเรียกร้องของกัมพูชาเหนือพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร และไม่ได้ตัดสินว่าแผนที่ ๑:๒๐๐,๐๐๐ ผูกพันไทยในฐานะเส้นเขตแดนทั้งหมด
แม้จะมีการตัดสินของศาลโลกถึงสองครั้ง แต่ข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชายังคงไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการปักปันเขตแดนในพื้นที่ที่กว้างกว่าบริเวณปราสาท สิ่งนี้เน้นย้ำว่าคำตัดสินของศาลระหว่างประเทศ แม้จะมีอำนาจผูกพันในประเด็นที่วินิจฉัย แต่ไม่สามารถทดแทนการเจรจาทางการทูตทวิภาคีที่จำเป็นสำหรับการแก้ไขข้อพิพาทดินแดนที่ซับซ้อนและมีรากฐานทางประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้งได้
สถานะปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตของข้อพิพาท
หลังคำตัดสินของศาลโลกในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ความตึงเครียดบริเวณปราสาทพระวิหารลดลงในระดับหนึ่ง แต่ประเด็นชายแดนที่ยังไม่ได้รับการปักปันโดยสมบูรณ์ยังคงเป็นแหล่งของความขัดแย้ง. ทั้งสองประเทศต่างยืนยันที่จะแก้ไขปัญหาแนวชายแดนอย่างสันติและไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยยึดหลักกฎหมายสากล
ข้อพิพาทชายแดนที่ยังคงมีอยู่ (เช่น กรณีช่องบก, ปราสาทตาเมือน)
ล่าสุดในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ ได้เกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีทหารกัมพูชาเสียชีวิต ๑ นาย นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ได้เสนอให้มีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมระหว่างกัมพูชา-ไทย (JBC) ทันที เพื่อสำรวจและกำหนดแนวเขตแดน
และยังเสนอให้นำประเด็นพื้นที่พิพาทอื่น ๆ เช่น กลุ่มปราสาทตาเมือนและพื้นที่ใกล้เคียงรวม ๕ จุด ขึ้นสู่ศาลโลกด้วย
สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานวุฒิสภาของกัมพูชา ได้ออกมาสนับสนุนข้อเสนอของนายฮุน มาเนต โดยกล่าวว่าการนำเรื่องขึ้นศาลโลกจะช่วยยุติความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ สภาแห่งชาติและวุฒิสภากัมพูชาได้ลงมติเห็นชอบข้อแถลงการณ์นี้เป็นเอกฉันท์
อ้างอิง บีบีซี 3 เรื่องที่ยัง “รู้ไม่ชัดเจน” ปมพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ระลอกล่าสุด
ฝ่ายไทย โดยโฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงว่าปัญหาปัจจุบัน (เช่น การขุดสนามเพลาะที่ช่องบก) เป็นคนละเรื่องกับคดีปราสาทพระวิหาร และเน้นย้ำถึงการเคารพกติกาการอยู่ร่วมกันในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนที่ยังไม่ชี้ชัด ซึ่งรวมถึงการไม่ดัดแปลงสภาพภูมิประเทศและไม่มีการวางกำลังทหาร
(รัฐบาลไทยยังได้ขอให้กองทัพอย่าเพิ่งดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการปิดด่านชายแดน เนื่องจากจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและวิถีชีวิตประชาชน และโดนเสียงวิจารณ์จากประชาชนไทยค่อนข้างรุนแรงว่าอ่อนข้อให้กับฝั่งฮุนเซน เนื่องจากนายทักษิณ และนางสาวแพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมีความใกล้ชิดส่วนตัวร่วมกับฮุนเซน)
การที่ข้อพิพาทชายแดนยังคงปะทุขึ้นในพื้นที่อื่น ๆ ที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนอย่างชัดเจน แสดงให้เห็นว่าปัญหาหลักของเขตแดนที่ยังไม่สมบูรณ์ยังคงเป็นแหล่งที่มาของความไม่มั่นคงและความขัดแย้งที่สำคัญ
คำตัดสินของศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหาร แม้จะมีความสำคัญ แต่ไม่ได้เป็น “ยาครอบจักรวาล” สำหรับข้อพิพาทชายแดนทั้งหมด และปัญหาพื้นฐานของการปักปันเขตแดนที่ยังไม่เสร็จสิ้นยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความตึงเครียดดำรงอยู่
กลไกการแก้ไขปัญหา: JBC และบทบาทของกฎหมายระหว่างประเทศ
กลไกหลักในการแก้ไขปัญหาเขตแดนคือ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันใน ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่
๑ ดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ผ่านกลไกที่มีอยู่ทั้งหมด เช่น คณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) คณะกรรมการเขตแดนทั่วไปกัมพูชา-ไทย (GBC) และบันทึกความเข้าใจปี ๒๕๔๓ ว่าด้วยการวัดและกำหนดเขตแดนทางบกกัมพูชา-ไทย เพื่อให้เขตแดนของทั้งสองประเทศกลายเป็นเขตแดนแห่งสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา
๒ ทั้งสองฝ่ายยังคงดำเนินการจัดการสถานการณ์ตามที่เป็นอยู่ อดทน และแก้ไขปัญหาทั้งหมดผ่านคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) ที่จะจัดขึ้นกลางเดือนมิถุนายน เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศ
๓ ให้มีการเคารพซึ่งกันและกันในอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน เพื่อหลีกเลี่ยงการสู้รบเช่นเช้าวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๘
แต่ปรากฏในเวลาต่อมาว่า กัมพูชาได้เผยแพร่เอกสารในประเทศว่ามี ๔ ข้อ และข้อที่ ๔ คือ ฝ่ายกัมพูชาจะไม่ถอยหรือยืนหยัดโดยปราศจากอาวุธในจุดที่เกิดความขัดแย้ง เนื่องจากนั่นคือจุดที่ฝ่ายกัมพูชาได้ยืนหยัดมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการวัดและกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างกัมพูชาและไทยเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๓
สถานการณ์ปัจจุบันเผยให้เห็นถึงความแตกต่างในแนวทางการแก้ไขข้อพิพาทที่แต่ละฝ่ายนิยมใช้ โดยกัมพูชามีแนวโน้มที่จะพึ่งพากลไกทางศาลระหว่างประเทศ (ICJ) มากขึ้นสำหรับข้อพิพาทชายแดน เนื่องจากมีความมั่นใจในความได้เปรียบเรื่องเอกสาร การที่นายกรัฐมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาต่างสนับสนุนอย่างแข็งขันให้นำข้อพิพาทชายแดนขึ้นสู่ศาลโลก โดยอ้างถึงความสำเร็จใน คดีปราสาทพระวิหาร แสดงให้เห็นว่ากัมพูชาเชื่อมั่นในกลไกนี้อย่างมาก
ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายไทยยังคงเน้นย้ำถึงการใช้ JBC และข้อตกลงที่มีอยู่ (MOU) ความแตกต่างนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของกลยุทธ์ แต่สะท้อนถึงมุมมองที่แตกต่างกันต่อประสิทธิภาพและความเหมาะสมของกลไกการแก้ไขปัญหา หากฝ่ายหนึ่งต้องการนำข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลโลกในขณะที่อีกฝ่ายต้องการเจรจาแบบทวิภาคี ความไม่ลงรอยกันนี้อาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการหาทางออกที่ยั่งยืนและอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางการทูตครั้งใหม่
คดีปราสาทพระวิหาร จึงยังคงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับการแก้ไขปัญหาสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา
อ่านเพิ่ม
ศาลโลก CASE CONCERNING THE TEMPLE OF PREAH VIHEAR
สถาบันอนุญาโตตุลาการ สรุปคดีปราสาทเขาพระวิหาร
Thai PBS ชัยชนะ “เขาพระวิหาร” แรงบันดาลใจ กัมพูชายื่นคดีสู่ “ศาลโลก”
ศิลปวัฒนธรรม รูปพระผู้เป็นเจ้าบนเขาพระวิหาร