ประชาธิปไตยระบบตัวแทน

Published on

ประชาธิปไตยระบบตัวแทน จากการอ่านความเห็นของคุณ KAM PHAKA ผ่าน X รู้สึกว่าตรรกะความคิดจะไม่ตรงกับแกะตัวนี้สักเท่าไหร่ ขอเขียนอธิบายความคิดตัวเองแบบยาว ๆ

ประชาธิปไตยระบบตัวแทน (Representative Democracy)

ขออธิบายมุมมองเรื่อง “ประชาธิปไตยระบบตัวแทน” (Representative Democracy) ก่อน ไม่ได้บอกว่าความคิดของแกะตัวนี้ถูกหรือผิด แต่นี่คือความคิดของ Unnamed Sheep

ในระบบนี้ ประชาชนไม่ได้ตัดสินใจโดยตรงในทุกเรื่อง แต่เลือกตัวแทน เข้าไปทำหน้าที่แทนในสภา ตัวแทนเหล่านี้มีหน้าที่พิจารณากฎหมายและนโยบายต่าง ๆ โดยยึดผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลัก 

การทำงานของระบบนี้อาศัย “ความไว้วางใจ” (Trust) ระหว่างประชาชนกับผู้แทน แต่ความไว้วางใจนี้ไม่ได้หมายถึงการมอบอำนาจให้ผู้แทนทำอะไรก็ได้โดยไม่มีการตรวจสอบเลย

ประชาธิปไตยระบบตัวแทน

ขอแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคลเป็นข้อ ๆ ดังนี้

๑. “เราไม่ได้บริหารประเทศด้วยระบบประชาธิปไตยทางตรง ประชาธิปไตยระบบตัวแทน เรามอบความไว้วางใจให้ ‘ตัวแทน‘ ของเราไปใช้อำนาจทางการเมืองแทนเราชั่วคราว (๔ ปี) เพราะฉะนั้น ระบบนี้ทำงานบนความ ’ไว้วางใจ’ หรือ trust (ที่พันนิกา เอาไปพล่ามแบบผิดฝาผิดตัว)”

ประเด็นที่ว่า เราเป็น ประชาธิปไตยระบบตัวแทน และมอบให้ตัวแทนไปทำงานบนความไว้วางใจนั้นถูกต้อง แต่การตีความว่า “ความไว้วางใจ” หมายถึงการที่ประชาชนต้องปล่อยให้ตัวแทนทำงานไปโดยไม่ตรวจสอบ หรือไม่ต้องแสดงความคิดเห็นนั้น  Unnamed Sheep ไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

ความไว้วางใจ ในบริบทนี้หมายถึงการที่ประชาชนเชื่อว่าผู้แทนที่ตนเลือกไปจะทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ตัดสินใจโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน แต่ความไว้วางใจนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้แทนมีสิทธิ์ “ทำอะไรก็ได้” หรือ กระทำการต่าง ๆ โดยไม่บอกกล่าว

ความไว้วางใจจะเกิดขึ้นได้และยั่งยืนก็ต่อเมื่อผู้แทนแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และประสิทธิภาพในการทำงาน

ในระบบประชาธิปไตย (ที่แข็งแรง) มีกลไกมากมายในการตรวจสอบการทำงานของผู้แทน เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา การตั้งกระทู้ถาม สื่อมวลชนรายงานพฤติการณ์และความคิดเห็นต่าง ๆ และที่สำคัญคือ สิทธิของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลและการแสดงความคิดเห็น หากไม่มีการตรวจสอบ ความไว้วางใจก็จะเสื่อมลงและอาจนำไปสู่การใช้อำนาจในทางที่ผิด

“ที่พันนิกา เอาไปพล่ามแบบผิดฝาผิดตัว” อันนี้เป็นการใช้ลดทอนคุณค่าคนอื่น และไม่เหมาะสมในการวิพากษ์วิจารณ์ เพราะไม่ได้ช่วยให้การอธิบายประเด็นมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นแต่อย่างใด

๒. “การดันทุรังจะไลฟ์ คือการทำลายระบบการเมืองที่ตั้งอยู่บน Trust อันนี้ เพราะมันแปลว่า คุณกำลังทำให้ประชาชนไม่ไว้ใจ representatives system ซึ่งในระยะยาวจะไม่ healthy ต่อระบอบประชาธิปไตยด้วยตัวมันเอง”

โดยส่วนตัว การไลฟ์ (Live streaming) การประชุมหรือกิจกรรมบางอย่างของสภา/นักการเมือง ไม่ได้เป็นการทำลายความไว้วางใจ แต่ตรงกันข้าม นี่คือเรื่อง การเสริมสร้างความไว้วางใจและความโปร่งใส

ความโปร่งใส (Transparency) คำนี้ Unnamed Sheep รู้จักครั้งแรกสมัยนายก อานันท์ ปัญญารชุน ซึ่งใช้หลัก ความโปร่งใส นี่แหละ สร้างความไว้วางใจจากประชาชน และเป็นเกราะคุ้มครองตัวเอง เพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง 

ความโปร่งใส เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความไว้วางใจในระบอบประชาธิปไตย เมื่อประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและเห็นการทำงานของผู้แทนได้โดยตรง ย่อมทำให้พวกเขารู้สึกมีส่วนร่วมและเชื่อมั่นในการทำงานของผู้แทนมากขึ้น 

การถ่ายทอดสดการประชุม ทำให้ประชาชนสามารถติดตามการทำงานของ ส.ส. ได้อย่างใกล้ชิด ทำให้เห็นว่า ส.ส. ของตนทำอะไรบ้างในสภา ทำให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ว่า ส.ส. ได้ทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้หรือไม่ การเปิดเผยนี้จะช่วยลดช่องว่างของการทุจริตและการใช้อำนาจโดยมิชอบ และเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสาธารณะ

“ประชาธิปไตยที่ “Healthy” หรือ ประชาธิปไตยที่แข็งแรงนี้ จะเป็นได้ก็ต่อเมื่อประชาชนมีส่วนร่วม และประชาชนจะต้องมีข้อมูลที่เพียงพอในการตัดสินใจ และสามารถตรวจสอบผู้มีอำนาจได้ การปิดกั้นข้อมูลหรือการทำงานที่ขาดความโปร่งใสต่างหากที่ “ไม่ Healthy” ต่อระบอบประชาธิปไตย

แน่นอนว่ามีบางประเด็นที่อาจละเอียดอ่อนและไม่สามารถเปิดเผยได้ทั้งหมด (เช่น ข้อมูลความมั่นคงของชาติ, ข้อมูลส่วนบุคคล) ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่ต้องพิจารณาเป็นกรณีไป แต่หลักการทั่วไปคือการเปิดเผยข้อมูลเท่าที่จะทำได้ เมื่อพบข้อมูลที่เป็นประเด็นอ่อนไหวค่อยงดเว้นการถ่ายทอดสดเป็นระยะก็ได้

๓. “การคอร์รัปชั่นจะดีขึ้นบน ประชาธิปไตยที่แข็งแรง, freedom of speech, open data; open data ไม่ใช่และไม่เท่ากับการไลฟ์ ทุกสิ่งอย่างในกระบวนการทำงาน”

ประโยคแรกนั้นถูกต้อง แต่ประโยคหลังที่ว่า “open data ไม่ใช่และไม่เท่ากับการไลฟ์ ทุกสิ่งอย่างในกระบวนการทำงาน” นั้นกำลังพยายามลดทอนคุณค่าของการไลฟ์ และสร้างข้อจำกัดที่ไม่จำเป็น

“Open Data” (ข้อมูลเปิด) คือการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐให้สาธารณะเข้าถึงและนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในการต่อต้านการคอร์รัปชัน การไลฟ์การประชุมหรือกิจกรรมต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งของ Open Data และเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความโปร่งใสแบบเรียลไทม์ (Real-time transparency)

การถ่ายทอดสดทำให้ประชาชนได้เห็นข้อมูลดิบ และการทำงานจริง ของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นมิติที่ลึกซึ้งกว่าการแค่เปิดเผยเอกสารหรือข้อมูลสรุป การไลฟ์จึงเป็นส่วนเสริมที่สำคัญของ Open Data ไม่ใช่สิ่งที่แยกจากกันโดยสิ้นเชิง หรือเป็นสิ่งที่ “มากเกินไป”

การเปิดเผยข้อมูลและการไลฟ์การทำงานช่วยลดโอกาสในการทุจริต เพราะการกระทำต่างๆ จะอยู่ภายใต้สายตาของสาธารณะชน ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง

๔. “การทำงานการเมืองไม่ใช่ Show biz หลายเรื่องมีความละเอียดอ่อนเพราะในทุกสังคมประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่มีความต้องการ มีความคิด ความเชื่อต่างกัน การไลฟ์ทุกอย่างสุ่มเสี่ยงที่จะเปราะบางความ ‘ความต่าง‘ เหล่านี้และอาจสร้างความร้าวฉานระหว่างคนในชาติโดยไม่จำเป็น”

การมองว่าการถ่ายทอดสดคือ “Show biz” และจะสร้างความร้าวฉานนั้นเป็นมุมมองที่จำกัดและบิดเบือนข้อเท็จจริง

การเมืองไม่ใช่ความ การเปิดเผยการทำงานไม่ได้เป็นการแสดง การเปิดเผยนี้เป็นไปเพื่อตอบสนองสิทธิในการรับรู้ข้อมูลของประชาชน ให้เข้าใจว่า ใคร กำลังทำอะไร แสดงตัวตนอย่างไร

ความละเอียดอ่อนในการทำงานการเมืองเป็นเรื่องจริง แต่การปกปิดหรือซ่อนเร้นไม่ได้ช่วยแก้ปัญหานี้เลย มิหนำซ้ำ การปกปิดจะนำไปสู่ความระแวงแคลงใจ ความไม่ไว้วางใจ และอาจจะทำให้เกิดข้อมูลบิดเบือนเกิดขึ้นได้จากปากต่อปาก

ความร้าวฉานมักเกิดขึ้นเมื่อประชาชนไม่ได้รับข้อมูลที่เพียงพอ หรือเกิดความสงสัยในการทำงานของผู้มีอำนาจ การเปิดเผยอย่างโปร่งใสต่างหากที่จะช่วยลดความเข้าใจผิดและสร้างการมีส่วนร่วมที่สร้างสรรค์

การทำงานการเมืองคือการบริหารจัดการความแตกต่างทางความคิดและความต้องการของคนในประเทศ การเปิดเผยกระบวนการพิจารณา หาข้อตกลง จะนำความแตกต่างเหล่านี้มาพิจารณาและหาทางออกร่วมกัน จะช่วยให้ประชาชนเข้าใจถึงความซับซ้อนและยอมรับผลลัพธ์ได้ดีขึ้น

๕. “เราเลือก สส. บน Trust ต้องอนุญาตให้เรา exercise trust ที่เรามอบให้ค่ะ ถ้าเขาทำให้เราผิดหวัง เราก็จะไม่เลือกเขาอีก”

แม้ว่าแนวคิดเรื่องการเลือกตั้งครั้งหน้าจะไม่เลือกอีกจะเป็นกลไกหนึ่งในการควบคุมผู้แทน แต่การจำกัดการ “exercise trust” เพียงแค่การรอคอยจนกว่าจะถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า เป็นการละเลยสิทธิและกลไกการตรวจสอบอื่นๆ ที่สำคัญในระบอบประชาธิปไตย

ความไว้วางใจไม่ได้เป็นเพียงแค่การยอมรับ แต่รวมถึงการคาดหวังว่าผู้แทนจะมีความรับผิดชอบ (Accountability) ต่อการกระทำของตน และพร้อมให้ตรวจสอบได้ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่เมื่อถึงเวลาเลือกตั้ง

ในระบอบประชาธิปไตยที่แข็งแรง ประชาชนมีสิทธิ์ในการตรวจสอบผู้แทนของตนตลอดวาระ เช่น การแสดงความคิดเห็น, การร้องเรียน, การประท้วงอย่างสงบ, การใช้สื่อสังคมออนไลน์ หรือแม้แต่การเรียกร้องให้มีการถอดถอน หากผู้แทนไม่ทำตามหน้าที่หรือกระทำการที่ไม่เหมาะสม

การรอคอย ๔ ปีเพื่อตัดสินใจว่าจะเลือกผู้แทนคนเดิมหรือไม่นั้น อาจสายเกินไปหากผู้แทนคนนั้นกระทำการทุจริตหรือสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง การมีกลไกตรวจสอบระหว่างวาระจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันความเสียหายและธำรงรักษาหลักธรรมาภิบาล

Unnamed Sheep’s Final Thoughts

ค่อนข้างแปลกใจที่คุณ KAM PHAKA มองข้ามความสำคัญของ ความโปร่งใส (Transparency) และ การมีส่วนร่วมของประชาชน (Public Participation) ในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ และตีความ “ความไว้วางใจ” ในแบบที่ผู้แทนควรได้รับความเชื่อใจโดยไม่มีข้อกังขา

ในความเป็นจริง แนวคิดประชาธิปไตย (ในความคิดของ Unnamed Sheep) ความไว้วางใจไม่ได้เกิดขึ้นจากการหลับหูหลับตาเชื่อ เพราะไม่เช่นนั้น เราอาจจะเชื่อได้ว่า ๒ + ๒ = ๕ ก็เป็นได้ ความไว้วางใจ จึงต้องเกิดขึ้นจากความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมและตรวจสอบได้ การที่ประชาชนมีข้อมูลมากขึ้นและสามารถติดตามการทำงานของผู้แทนได้โดยตรงนั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประชาธิปไตยเข้มแข็งและยั่งยืนขึ้น